วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 54

ตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เมื่อได้ยอดเงินได้สุทธิแล้ว นำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษี ดังนี้


เงินได้สุทธิ
ช่วงเงินได้สุทธิ
แต่ละขั้น
อัตราภาษี
ร้อยละ
ภาษีแต่ละขั้น
เงินได้สุทธิ
ภาษีสะสม
สูงสุดของขั้น
1 - 150,000
150,000
ได้รับยกเว้น
-
-
150,001 - 500,000
350,000
10
35,000
35,000
500,001 - 1,000,000
500,000
20
100,000
135,000
1,000,001 - 4,000,000
3,000,000
30
900,000
1,035,000
4,000,001 บาทขึ้นไป

37



หมายเหตุ :- การ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้สุทธิเฉพาะส่วนไม่เกิน 150,000 บาท มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้สุทธิที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ( พระราชกฤษฎีกา ( ฉบับที่ 470 ) พ.ศ. 2551 )


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีจะต้องทำอย่างไร?

โดย ทั่วไปผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกประเภทของตน ตลอดปีภาษี (ไม่รวมเงินได้ที่กฎหมายยกเว้นภาษี หรือที่ไม่ต้องเสียภาษี) ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีเงิน ได้ การคำนวณภาษีให้ทำเป็น 3 ขั้น คือ
ขั้นที่หนึ่ง
คำนวณหาจำนวนภาษีตาม วิธีที่ 1 เสียก่อน
การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1
เงินได้พึงประเมินทุกประเภทรวมกันตลอดปีภาษี
xxxx
(1)
หัก ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(2)
(1)-(2) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
xxxx
(3)
หัก ค่าลดหย่อนต่าง ๆ (ไม่รวมค่าลดหย่อนเงินบริจาค) ตามที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(4)
(3)-(4) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ
xxxx
(5)
หัก ค่าลดหย่อนเงินบริจาค ไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(6)
(5-6) เหลือเงินได้สุทธิ
xxxx
(7)
นำเงินได้สุทธิตาม (7) ไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1
xxxx
(8)



ขั้นที่สอง ให้พิจารณาว่าจะต้องคำนวณภาษีตาม วิธีที่ 2 หรือไม่ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่จะต้องคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 จึงคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 อีกวิธีหนึ่ง
กรณีที่ต้องคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 ได้แก่ กรณีที่เงินได้พึงประเมินทุกประเภทในปีภาษี แต่ไม่รวม เงินได้พึงประเมินตามประเภทที่ 1 มีจำนวนรวมกันตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 นี้ ให้คำนวณในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน (= เงินได้พึงประเมินทุกประเภทลบเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 คูณด้วย 0.005) ดังกล่าวนั้น
กำหนดให้ (10) คือ จำนวนภาษีที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 2

การคำนวณภาษี
จำนวนภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย เทียบ (8) และ (10) จำนวนที่สูงกว่า
xxxx
(11)
หัก ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแล้ว
xx
ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้ว
xx
ภาษีเงินได้ชำระล่วงหน้า
xx
เครดิตภาษีเงินปันผล
xx
xx
(12)
(11-12) เหลือ ภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย (หรือที่เสียไว้เกินขอคืนได้)
xx

หมายเหตุ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป หากคำนวณตามวิธีที่ 2 แล้วมีภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 บาท ผู้มีเงินได้ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามวิธีที่ 2 ( 10 ) แต่ยังคงมีหน้าที่เสียภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 1 ( 8 ) โดยนำมาสรุปจำนวนภาษีที่ต้องเสียขั้นที่สาม
ที่มา :http://www.rd.go.th/publish/555.0.html
























































วันที่ 28 กค. 2554

วันนี้ขอเน้นการตลาดครับพี่น้อง ^^

*** เพราะจากการวิเคราะห์ตัวเองแล้วเห็นว่าสิ่งที่ยังขาดไปในตัวเรา..นั่นก็คือ..
       ความรู้และ ความเ้ข้าใจในเรื่อง การตลาด

บทความที่ 1
การตลาดสำหรับธุรกิจบริการ
http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538767419&Ntype=121


บทความที่ 2

ส่วนประสมทางการตลาดบริการ

http://www.crmtothai.com/index.php?option=com_content&task=view&id=898&Itemid=81 

 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์นั้น ประกอบด้วยทั้ง สินค้า และบริการ
ซึ่งบริการแตกต่างจากสินค้า บริการส่วนมากจะผสมผสานไปกับสินค้า บางสินค้าจับต้องยาก บางสินค้าลูกค้าไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่มาใช้บริการเท่านั้น ไม่สามารถสต๊อกหรือผลิตล่วงหน้าได้ มีพนักงานบริการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจากบริการมีความแตกต่างจากสินค้าตรงที่…..

1. บริการเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก ไม่สามารถเน้นตัวผลิตภัณฑ์ได้ ต้องอาศัยปัจจัยเสริมด้วย เพื่อเน้นให้เห็นภาพ ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกประทับใจกับบริการที่ได้รับ

2. บริการต่างๆที่ลูกค้าได้รับ ลูกค้าไม่ได้เป็นเจ้าของบริการนั้นๆ เพียงแค่เป็นการเช่าหรือมาใช้บริการ

3. พนักงานบริการมีส่วนเป็นอย่างมากในการให้บริการกับลูกค้า ซึ่งเรียกว่า การส่งมอบบริการ มีบริการหลายประเภทที่ต้องมีการโต้ตอบระหว่างพนักงานบริการกับลูกค้าในขณะ ให้บริการด้วย เช่น ร้านตัดผม

4. การบริการมีความแตกต่างกันมากในแต่ละครั้ง ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคน ซึ่งในที่นี้รวมทั้งคนให้บริการและคนรับบริการที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะมีความผิดพลาดได้ ลูกค้าประเมินคุณภาพบริการได้ยาก เพราะบริการจับต้องไม่ได้ทดลองก่อนตัดสินใจไม่ได้

5. บริการไม่สามารถผลิตเก็บไว้ล่วงหน้าได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ คน เวลา สถานที่ และเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก

6. เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญในการส่งมอบบริการ ทำให้ในช่วงที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากๆ ทำให้ลูกค้าต้องรอนาน และการให้บริการมีคุณภาพลดลง

7. มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างออกไปจากสินค้าแบบดั้งเดิม บริการบางประเภทสามารถส่งมอบได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องติดต่อกับคนโดยตรง

บริการจึงมีองค์ประกอบที่เป็นส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างออกไป เพราะบริการเป็นอะไรที่มีความหลากหลายมาก
การจัดการทางด้านการตลาดของการบริการนี้จะต้องผสมผสานกัน จนไม่อาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับแต่ละบริการด้วย ซึ่ง 7P’s ของบริการที่ต้องสอดประสานกันอย่างดีจึงจะได้ประสิทธิผล มีดังนี้

1. ทางด้านสินค้า (Product ) ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจเลือกบริการหลัก และบริการเสริม ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และแข่งขันได้ดีเมื่อเทียบกับบริการของคู่แข่ง

2. ราคาและค่าใช้จ่ายส่วนที่ลูกค้าต้องจ่าย (Price) ในเรื่องของราคาตามปกติที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจเหมือนกับราคาของสินค้า แบบเดิม ผู้บริหารยังจะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ตัวเงิน เวลาที่ลูกค้าต้องเสียไปกับการมาใช้บริการ ตลอดจนความรู้สึกทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่อาจออกมาในแง่ลบ ความไม่พึงพอใจต่อการบริการที่ได้รับ เนื่องจากบริการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมายไว้

3. สถานที่ (Place) ในการส่งมอบบริการต้องคำนึงถึงปัจจัยทางด้านสถานที่ที่ให้บริการ และเวลาที่สะดวกรวดเร็วจากการได้รับบริการโดยผ่านทาง อีเมล์ หรือทางเว็บไซต์ก็ได้ เพราะลูกค้าจะคำนึงถึงความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการเป็นปัจจัยสำคัญ

4. การส่งเสริมการขายและการสื่อสารทางการตลาด (Pomotion & IMC) ไม่มีสินค้าชนิดใดที่จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่มีโปรแกรมการสื่อสารการตลาดที่ดี ซึ่งมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่จำเป็นกับลูกค้า ชักชวนให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ตลอดจนกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบริการเร็วขึ้น แต่หลักการสื่อสารการตลาดของการบริการมักจะเน้นที่การสอนลูกค้าเกี่ยวกับ บริการนั้นๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อใดจึงควรจะใช้จะหาได้ที่ไหน และจะต้องทำอย่างไรบ้างในการมารับบริการนั้นๆ

5. พนักงานผู้ให้บริการและลูกค้าที่มีส่วนร่วมในงานบริการนั้นด้วย ส่งมอบบริการ (People) มีบริการหลายชนิดที่เจาะจงให้ลูกค้าและพนักงานต้องมามีส่วนร่วมในงานบริการ ร่วมกัน ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เช่น การให้บริการตัดผม

6. เกิดความประทับใจจากสิ่งที่เห็น มีส่วนในการช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า บริการนั้นมีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ได้แก่ อาคารสำนักงานสถานที่ที่ให้บริการ เครื่องมือที่ใช้ การแต่งกายของพนักงานที่เหมาะสม

7. กระบวนการออกแบบบริการ (Process Design) เป็นการส่งมอบบริการให้ลูกค้า ถ้าการออกแบบทำได้ดี การส่งมอบบริการก็จะมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตรงเวลา มีคุณภาพสม่ำเสมอ แต่ถ้าขั้นตอนการออกแบบบริการไม่ดีพอก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ หรือทำให้ลูกค้าไม่พอใจ จนทำให้เลิกใช้บริการไป

ผู้บริหารจะต้องมี การทบทวนการให้บริการกับลูกค้าไม่ควรไปลดต้นทุนการบริการลง ทำให้คุณภาพการบริการแย่ลงไปด้วย คุณภาพที่ไม่ดีจะทำให้ลูกค้าไม่พอใจ และไม่ใช้บริการซ้ำอีก
 
ที่มา : http://www.siaminfobiz.com/
 
 

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความรู้ทางบัญชีและภาษี

มีคำสั่งอายัดเงินของลูกจ้าง นายจ้างทำอย่างไร?

ที่มา :http://www.dlo.co.th/node/405

ผู้เขียน: 
นายวรเศรษฐ์ เผือกสกนธ์ ที่ปรึกษากฏหมาย

มักจะมีคำถามมาจากผู้ประกอบการอยู่เสมอ เมื่อได้รับจดหมายจากกรมบังคับคดีให้อายัดเงินเดือนลูกจ้างแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หากฝ่าฝืนจะได้รับผลอย่างไร

ก่อนอื่น ท่านผู้อ่านจะต้องเข้าใจก่อนว่า การมีคำสั่งอายัดกรณีนี้ หมายความว่า ลูกจ้างได้ตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ลูกจ้างอาจจะเป็นหนี้จำนวนหนึ่ง เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือหนี้เงินกู้ธนาคาร แล้วต่อมาผิดนัดไม่ใช้หนี้ จนกระทั่งลูกจ้างผ่านการถูกฟ้องคดีแพ่งและศาลได้มีคำพิพากษาให้ลูกจ้างชำระ หนี้แล้ว แต่ลูกจ้างไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงได้ร้องขอต่อศาลให้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สิน ของลูกจ้างเพื่อออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ต่อไปตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร โดยคงเหลือเงินให้กับลูกจ้างเพื่อดำรงชีพปกติได้เพียงไม่เกินเดือนละหนึ่ง หมื่นบาท

ผู้ประกอบการบางท่านไม่ทราบ ปล่อยปละละเลย หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าว ยังคงจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างตามปกติ  เนื่องจากสงสารลูกจ้าง เพราะปกติแล้วลูกจ้างถูกหักเงินหลายประเภทอยู่แล้ว ไม่ว่าจะประกันสังคม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เงินกู้สวัสดิการบริษัท เป็นต้น ลูกจ้างแทบจะไม่เหลือเงินพอใช้ในแต่ละเดือน  หากจะต้องหักเงินนำส่งกรมบังคับคดี ลูกจ้างจะดำรงชีวิตอยู่  จะทำงานให้ดีได้อย่างไร  แต่โปรดทราบว่า หากนายจ้างไม่ดำเนินการ  เจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถร้องขอต่อศาล เพื่อให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบชดใช้หนี้แทนลูกจ้างเสมือนกับว่า ผู้ประกอบการรายนั้นเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้

ที่กล่าวมาเป็นทฤษฏีทางกฎหมาย แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้หักเงินลูกจ้างไว้เพื่อนำส่งเจ้าพนักงานบังคับคดีจะ สามารถแก้ต่างต่อศาลได้หรือไม่ ซึ่งกรณีดังกล่าว ผู้เขียนเห็นว่า  ยังคงเป็นไปได้ยากอยู่ดี เพราะถือว่า คำสั่งอายัดได้ปิดปากผู้ประกอบการเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม หากลูกจ้างยังคงทำงานอยู่ ผู้ประกอบการอาจแถลงต่อศาล อ้างความสุจริตของตนเพื่อขอผ่อนผันต่อศาล และดำเนินการหักเงินส่งให้กับกรมบังคับคดีจนครบจำนวน แต่หากลูกจ้างได้พ้นจากสภาพการเป็นลูกจ้างไปก่อนแล้ว ผู้ประกอบการก็คงจะต้องรับผิดชดใช้ให้กับเจ้าหนี้ตามจำนวนที่มิได้หักค่า จ้างนำส่งให้กับกรมบังคับคดี เว้นแต่ฝ่ายเจ้าหนี้จะได้ทิ้งคำร้องไม่นำพยานไปสืบพิสูจน์ต่อศาลเสียแล้ว

ท้ายสุดนี้  เชื่อว่า เมื่อลูกจ้างถูกหักเงินจากผู้ประกอบการได้ไม่นาน ก็คงจะลาออกแล้วหนีไปหางานใหม่ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามตัวไม่ได้ เพราะทำงานต่อไปก็ได้เงินไม่พอใช้ ท่านผู้ประกอบการทั้งหลาย หากได้รับหมายอายัดเงินลูกจ้างเมื่อใด ให้เตรียมตัวเตรียมใจได้เลยว่า จะเสียลูกจ้างรายนี้ไปไม่เร็วก็ช้า

ข่าววันที่ 25 กค.2554

สรรพากรพร้อมปรับภาษี ลดนิติบุคคลและเพิ่มVATรับประชานิยม

ที่มา :http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000091266

 สรรพากรพร้อมรับนโยบายประชานิยม ระบุลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 20% ทำได้ พร้อมชง ครม.ออกพระราชกฤษฎีกาได้ทันที ส่วน VAT ควรปรับขึ้นเพื่อหารายได้ให้สอดคล้องกับรายจ่าย ย้ำขึ้น VAT ไม่ได้ซ้ำเติมคนจนแต่จัดเก็บจากคนมีรายได้สูงที่บริโภคมาก เตรียมยกเครื่องระบบจัดเก็บขยายฐานผู้เสียภาษีพร้อมสร้างแรงจูงใจให้ทำถูก กฎหมายหวังกระตุ้นการจัดเก็บเพิ่มอีกปีละ 20%
      
       นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรรมสรรพากรได้ศึกษานโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงเพื่อเตรียมความพร้อมใน การจัดหางบประมาณสำหรับดำเนินโครงการต่างๆ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในขณะนี้อยู่ระหว่ารอการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ที่ชัดเจนก่อนจากนั้นจึงจะเสนอแผนการ ดำเนินการต่างๆ ที่กรมสรรพากรศึกษาตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้กับรัฐมนตรีคลังคนใหม่
      
       โดยเฉพาะนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญและสอดคล้อง กับการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยสามารถลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ได้ทันทีในปีนี้และ ลดเหลือ 20% ได้ในปีหน้าเพื่อส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิตรวมทั้งดึงดูดเม็ด เงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากในปัจจุบันในภูมิภาคอาเซียนมีเพียงประเทศไทยและฟิลิปปินส์เท่านั้น ที่จัดเก็บภาษีนิติบุคคล 30%
      
       “การลดภาษีลงเหลือ 23% และ 20% นั้นเมื่อคำนวณดูคร่าวๆ แล้วจะทำให้กรมสรรพากรสูญรายได้ไปประมาณ 1.5 แสนล้านบาททันที แต่จากประมาณการจัดเก็บรายได้ของปีนี้กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้เกิน เป้าถึง 1.8 แสนล้านบาทไม่เป็นที่น่าหนักใจแต่อย่างใด ซึ่งขั้นตอนก็สามารถทำได้ทันทีโดยเสนอครม.ออกประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาก็มีผล บังคับใช้ได้ทันที ส่วนการปรับขึ้นภาษีต้องแก้ในกฎหมายประมวลรัษฎากร” นายสาธิตกล่าว
      
       นายสาธิตกล่าวว่า ส่วนการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) นั้น ตามหลักการเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวก็ควรที่จะปรับขึ้นได้แล้วเพื่อเพิ่ม รายได้ให้กับรัฐบาลและยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลกที่ลดการจัดเก็บภาษี นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาแต่มาจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราที่สูง โดยในปัจจุบันมีเพียงประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เท่านั้นที่เก็บภาษีมูลค่า เพิ่มน้อยกว่าไทยที่ 5% ส่วนที่อื่นขั้นต่ำอยู่ที่ 10% และสูงสุดถึง 30%
      
       “การเพิ่ม VAT ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเอายังไงเพราะเป็นเรื่องของนโยบาย แต่ในทางหลักการนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว เพราะภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้เป็นการซ้ำเติมหรือขูดรีดคนจนตามที่ถูกกล่าวหา เพราะคนจนซื้อสินค้าส่วนใหญ่ตั้งแต่เริ่มตั้งกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่า เพิ่มก็ได้ยกเว้นสินค้าที่ส่วนใหญ่คนจนซื้ออยู่แล้ว แต่คนที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มคือคนที่มีรายได้มากและมี การบริโภคในอัตราที่สูง” นายสาธิตกล่าว
      
       นายสาธิตกล่าวว่า ขณะเดียวกันกรมสรรพากรอยู่ระหว่าเตรียมยกเครื่องระบบการจัดเก็บภาษีทั้งระบบ เพื่อขยายฐานการจัดเก็บภาษีและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และกระทรวงพาณิชย์เพื่อดูยอดธุรก รรมที่มีการหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาได้แบบเรียลไทม์จะทำให้ระบบการตรวจสอบภาษี มีความโปร่งใสมากขึ้นและเพิ่มข้อมูลพื้นฐานในการจัดเก็บที่ถูกต้องมากขึ้น
      
       “ระบบนี้จะจูงใจให้คนต้องการเสียภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและ ขยายฐานข้อมูลของผู้เสียภาษีทุกประเภทให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งหากดำเนินการเสร็จสิ้นตามแผนที่กรมสรรพากรวางไว้จะทำให้อัตราการจัดเก็บ ภาษีของประเทศไทยในปัจจุบันขยายตัวได้สูงถึง 20% ต่อปี เพื่อให้สามารถรองรับนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการในอนาคตได้” นายสาธิตกล่าว

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ของเล่นจิ๋ว

จากเฟสบุค จีเอ็มเอ็ม เค้าแนะนำมาน่าสนใจอ่ะ ขอเก็บลิงค์ไว้ก่อนนะ
เผื่อมีโอกาสเอาไปใช้ในอนาคต ^^
http://www.re-ment.co.jp/

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กรี๊ดดดดดดดดดดดด

กรี๊ดดดดดดดดดด.. อีกรอบ
อ่านกระทู้นี้แล้วใจสั่นอ่ะ ..มันจะเป็นไปได้ัมั้ยน๊อ..ที่จะเป็นคู่กรรมอ่ะ ^^
http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C10823792/C10823792.html

อิอิ ต้องเก็บเอาไว้เลยทีเดียว..555 ..แล้วมาพิสูจน์กันว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กรี๊ดดดดดดดดดด ตื่นเต้นสุดๆ อ่ะ :))

หวาย!!!!!!!! วันนี้ (21-7-54) กลับไปอ่านกระทู้นี้อีกรอบ ชอบ คห.ที่ 83 และ 84 จัง
อิอิ ...เป็นคนที่เรารักเปล่าน้า..น่าลุ้นที่สุด อ่ะ :))

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข่าววันที่ 14 กค. 2554

ราคาประเมินที่ดินใหม่ บังคับใช้ 1 ม.ค.55 ปรับขึ้น15% "สีลม-เพลินจิต"ขึ้นสูงสุด

นายชูชีพ จิตร์อำไพ ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ กล่าวในงานสัมมนาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เรื่อง ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยชี้ทิศทางตลาด ปี 2554 ว่า แนวโน้มราคาประเมินที่ดินและอาคารชุดที่จะประกาศวันที่ 1 มกราคม 2555 ราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% โดยใน กทม.อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-30% ส่วนในแนวก่อสร้างและเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งสายเก่าและสายใหม่มีการปรับขึ้น 50% โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ผ่านจังหวัดนนทบุรี สำหรับภูมิภาคจะปรับขึ้นในเมืองชายทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ส่วนราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดนั้นจะขึ้นกับทำเลที่ตั้ง โดยใน กทม.มีการปรับประมาณ 15% ซึ่งย่านสีลม เพลินจิต มีราคาประเมินสูง


นายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ราคาวัสดุปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันปรับขึ้นแล้ว 5.8% ซึ่งคิดเป็น 3% ของต้นทุนก่อสร้าง ขณะที่รัฐบาลใหม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน จะทำให้ต้นทุนค่าแรงปรับขึ้นถึง 30% ส่งผลต่อต้นทุนก่อสร้างอย่างน้อย 6% ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ซึ่งทั้งสองส่วนจะทำให้ต้นทุนของผู้รับเหมาปรับขึ้นอย่างน้อย 9-10% นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานประมาณ 100,000 คน เหลือแรงงานในระบบประมาณ 2.9 ล้านคน แม้ว่ารัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงก็จะไม่ทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานลดลง ดังนั้นควรพิจารณาให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายด้วย

ที่มา :- มติชนออนไลน์

ละครเด็ดปี 53

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
มีลิงก์ดูตราบาปสีขาวทั้งหมดด้วยละ
เพิ่งไปเจอมา..ขอเก็บเอาไว้นะจ้ะ
http://www.ruktv.com/tag/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข่าววันที่ 13 กค. 2554

กกต.แจงแขวนปู-มาร์คโดนร้องเรียน 

http://bit.ly/pDsmA5 

นักวิเคราะห์ค้าน3นโยบายเพื่อไทย http://bit.ly/n8vsGQ

วุฒิฯจี้รัฐบาล"ปู"แก้เอ็นจีวีขาดแคลน 

http://bit.ly/ribp1y

 

ข่าววันที่ 12 กค.2554

"แสนสิริ"ออกหุ้นกู้อายุ 5 ปี 1,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.4-6.0% จ่ายทุก3เดือน

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ  “SIRI” เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการออกหุ้นกู้ระยะยาว อายุ 5 ปี จำนวนรวม 1,000,000 หน่วย (หนึ่งล้านหน่วย) มูลค่าหุ้นกู้รวม 1,000 บาท (หนึ่งพันล้านบาท)

สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้ดังกล่าว คือ อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 1-3 เท่ากับ 5.40 % ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยในปีที่ 4-5 เท่ากับ 6.00 % ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนและกำหนดวงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท โดยคาดว่าจะเสนอขายในวันที่ 18-20 กรกฎาคม 2552 นี้

“บริษัทฯ ตัดสินใจให้มีการออกหุ้นกู้เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจที่เติบโตขึ้นจากการที่ ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริที่แข็งแกร่งขึ้นเป็น ลำดับตามแนวทางธุรกิจที่วางไว้"

นายเศรษฐากล่าวว่า เงินทุนที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจให้ครบวงจรและครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกเซ กเมนท์มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการพึ่งพาวงเงินกู้จากธนาคาร

บริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัทฯ เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารทั่วประเทศ

ที่มา :- มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ครม.อนุมัติงบกลาง 2.3 หมื่นล้าน ขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทน บุคลากร สพฐ.

นาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติทิ้งทวนตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอขอใช้งบกลางปี 2554 รายการเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือขอใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนรายเดือนบุคลากรภาครัฐในอัตราร้อยละ 5 ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 จำนวน 23,035 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้รองรับการปรับเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทนให้ข้าราชการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวนกว่า 500,000 คน


นายชินวรณ์กล่าวว่า งบเงินเดือนประจำปี 2554 ที่ สพฐ.เหลืออยู่นั้น ไม่พอจ่ายจนถึงสิ้นปีงบประมาณ เพราะในรอบปีนี้มีการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดหลายกรณี เริ่มตั้งแต่มติ ครม. 16 สิงหาคม 2553 ที่เห็นชอบให้ปรับเงินเดือนข้าราชการเพิ่มร้อยละ 5 มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2554 มีผลให้ข้าราชการสังกัด สพฐ.อยู่ในข่ายนี้จำนวน 448,570 คน ลูกจ้างประจำ 30,727 คน และพนักงานราชการ 22,652 คน ซึ่งต้องใช้เงินรองรับทั้งหมด 4,195.63 ล้านบาท


ขณะเดียวกัน ในปี 2554 นี้ มีการประกาศใช้บัญชีเงินเดือนครูใหม่ ตาม พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2554 มีผลให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวน 435,464 คน ได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนอีกร้อยละ 8 ตั้งแต่ 31 มีนาคม 2554 ต้องใช้งบประมาณรองรับทั้งสิ้น 5,563.40 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้ตั้งบประมาณปี 2554 รองรับไว้


นอกจากนั้น ยังมีข้าราชการที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนประจำปี 2554 และต้องใช้เงินรองรับทั้งสิ้น 6,596.98 ล้านบาท เพราะฉะนั้น ศธ.จึงต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมอีก 23,035 ล้านบาท เพื่อนำมาจ่ายเงินเดือน 2 เดือนสุดท้าย คือ สิงหาคมและกันยายน ให้ทุกคนได้รับเงินครบถ้วน ซึ่ง ครม.ก็เห็นชอบตามที่ ศธ.เสนอขอ 


ที่มา :- มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยอมรับปรับค่าแรง 300 บาทต่อวัน กระทบราคาบ้านแน่

 

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย  กล่าวถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วยการกำหนดอัตรา ดอกเบี้ยซื้อบ้านหลังแรกร้อยละ 0  ระยะเวลา  5  ปี  ว่า  ระหว่างจัดตั้งรัฐบาลอาจทำให้การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคชะลอลงเพื่อรอผล ของมาตรการ  แต่เมื่อมาตรการมีผลก็จะเร่งให้คนที่มีความต้องการซื้อบ้านตัดสินใจเร็วขึ้น


นายกิติพล กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้อาจจะไม่สามารถขยายตัวเท่าปีที่ผ่านมา  โดยมีอัตราการขยายตัวต่ำกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 10  เนื่องจากปีที่แล้วผลของมาตรการที่หมดอายุไปแล้ว มีส่วนเร่งให้คนซื้อบ้านมากขึ้น  ส่วนประเด็นที่ผู้ประกอบการห่วงใยและกระทบต้นทุน คือ ค่าแรงงาน หลังจากพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายหาเสียงและอยู่ระหว่างผลักดันให้เป็นนโยบาย ด้วยการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300  บาทต่อวัน  เบื้องต้นเห็นว่าจะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ 10  และอาจส่งผลให้ต้นปีหน้าอาจจะต้องมีการปรับราคาขาย อสังหาริมทรัพย์ขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น ที่ผ่านมาการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์  ต้นทุนค่าแรงงานจะมีสัดส่วนร้อยละ  25-30  ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบหรืออาคารชุด 

ด้านนายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย  กล่าวว่า  มาตรการอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ระยะเวลา  5  ปี  ช่วยกระตุ้นการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ได้มาก  โดยจะทำให้เติบโตได้เป็นประวัติการณ์  อย่างไรก็ตาม นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ  300 บาท  ภายใน  1  เดือนข้างหน้า  3  สมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยื่นหนังสือถึงรัฐบาล  เพื่อให้การปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300  บาท เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปภายในระยะเวลา  4  ปี เพื่อไม่ให้กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ  ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเห็นว่าหากภาครัฐมี มาตรการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น  เห็นว่าไม่สามารถชดเชยต้นทุนค่าแรงได้  เนื่องจากการเสียภาษีจะทำเมื่อมีกำไรเท่านั้น. 


ที่มา :- มติชนออนไลน์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

"ปู"ลุยฟื้นจำนำข้าวพ.ย.นี้ 

"ยิ่งลักษณ์"คาดฟื้นนโยบายรับจำนำข้าวเริ่มใช้พ.ย. นี้ เล็งใช้ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยปรับโครงสร้างราคาสินค้า 
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมยุทธศาสตร์ด้านนโยบายต่าง ๆว่า มีการหารือใน 2 หัวข้อหลักคือ การร่างนโยบายที่จะนำเสนอกับประชาชนและนโยบายเร่งด่วน ซึ่งวันนี้ก็ได้มีการรายงานความคืบหน้าต่างๆ โดยนโยบายทุก ๆ นโยบายจะต้องรู้ว่าเมื่อปฎิบัติแล้วจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ก็จะต้องหารือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องต่อไป
ทั้งนี้การนำนโยบายรับจำนำข้าวกลับมาใช้แทนการประกันราคา ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอในช่วงหาเสียงว่า ก่อนตัดสินใจเริ่มโครงการจะพิจารณาองค์ประกอบทั้งระบบ อาทิ ปริมาณผลผลิต ราคา เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในผลผลิตฤดูกาลใหม่เดือน พ.ย. แต่ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากกังวลถึงการกักตุนปริมาณของข้าวเปลือก ซึ่งจะกระทบกับประชาชนในช่วงนี้ได้
ส่วนการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลก คงไม่ใช้แนวทางการตัดราคา แต่จะพิจารณากำหนดราคาตามคุณภาพ
"โครงการรับจำนำ หากพร้อมเมื่อไหร่จะประกาศ เพราะไม่อยากให้มีการกักตุน เพราะขณะนี้มีการกักตุนเพื่อรอโครงการรับจำนำ และส่งผลกระทบถึงผู้ส่งออก ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ อย่ามีการกักตุน"น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลใหม่เข้าไปทำหน้าที่แล้วจะเข้าไปดูโครงสร้างราคาสินค้าจำเป็นต่อ ชีวิตประจำวัน ไม่ให้มีราคาแพงเกินกว่าเหตุ แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้ราคาสินค้าถูกลง คือ ราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันลดลงก็จะทำให้ต้นทุนสินค้าปรับลดลงไปด้วย
สำหรับความคืบหน้าในการร่างนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน และนโยบายเร่งด่วนที่ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือนั้น เนื่องจากบางเรื่องเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเป็นการ เฉพาะ
ส่วนนโยบายถมทะเลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลายเป็นเมืองใหม่นั้น ในขณะนี้ยังไม่ขอพูดถึง ซึ่งหากมีความชัดเจน จะชี้แจงบให้ทราบทันที
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศรับรองตำแหน่งของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าในขณะนี้ กกต.กำลังมีการประชุมหารืออยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องให้เวลา กกต.ในการพิจารณา ซึ่งไม่ได้มีความหนักใจแต่อย่างไร เพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกติกา

ที่มา :-http://bit.ly/q4LGKx  ขอบคุณโพสต์ทูเดย์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อยากทำซาลาเปาขายง่ะ

ที่มา
 http://www.siaminfobiz.com/mambo/content/view/376/82/

ซาลาเปาคุณกบ..น่าสนใจน่ะ ^^

เกี่ยวกับประกันสังคม

ข้อบังคับตามกฎหมาย

ให้ใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ บังคับแก่นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบัน
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ใช้บังคับแก่กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ทำให้
ลูกจ้างซึ่งทำงานให้นายจ้างที่มีลูกจ้างน้อยกว่าสิบคนยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามระบบ
ประกันสังคม ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้างอย่างทั่วถึงและโดยที่มาตรา ๑๐๓
วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ บัญญัติให้การจะบังคับใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๓๓ แก่นายจ้างที่มีลูกจ้างน้อยกว่าสิบคนในท้องที่ใดและเมื่อใด ให้ตราเป็นพระราช
กฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

เกี่ยวกับสวัสดิการตามกฎหมาย

การกำหนดและพัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการ

ภายใต้ภารกิจการกำหนดและพัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการนี้ สวัสดิการแรงงานได้ถูกจัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
  • สวัสดิการแรงงานตามที่กฎหมายกำหนด
  • สวัสดิการแรงงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด

สวัสดิการแรงงานตามที่กฎหมายกำหนด

เป็นสวัสดิการที่ได้มีการพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับ ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ ซึ่งกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปต้องมีการจัดสวัสดิการประเภทนี้ คือ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยสำหรับลูกจ้าง โดยในประกาศฉบับนี้ได้กำหนดรายละเอียดและรูปแบบของสวัสดิการแรงงานที่สถาน ประกอบกิจการต้องจัดให้มีโดยสรุปดังนี้
  1. ให้นายจ้างจัดให้มีน้ำสะอาดสำหรับดื่ม ห้องน้ำ และห้องส้วมอันถูกต้องตามสุขลักษณะและมีปริมาณเพียงพอแก่ลูกจ้าง
  2. นายจ้างต้องจัดให้มีบริการเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างเมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยในการปฐมพยาบาลหรือในการรักษาพยาบาล
    1. สถานที่ทำงานที่มีลูกจ้างทำงานตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ต้องมีปัจจัยในการปฐมพยาบาล
    2. สถานที่ทำงานอุตสาหกรรม นอกจากปัจจัยในการปฐมพยาบาลตาม ( 1 ) แล้ว ต้องจัดให้มีห้องรักษาพยาบาล พยาบาล และแพทย์ ดังต่อไปนี้
      • ถ้ามีลูกจ้างทำงานในขณะเดียวกันตั้งแต่สองร้อยคนขึ้นไป ต้องจัดให้มี
        • (ก) ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้หนึ่งเตียง และเวชภัณฑ์อันจำเป็นเพียงพอแก่การรักษาพยาบาล
        • (ข) พยาบาลไว้ประจำอย่างน้อยหนึ่งคน และ
        • (ค) แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งคนเพื่อตรวจรักษาพยาบาลเป็นครั้งคราว
      • ถ้ามีลูกจ้างทำงานในขณะเดียวกันหนึ่งพันคนขึ้นไป ต้องจัดให้มี
        • (ก) สถานพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้สองเตียง และเวชภัณฑ์อันจำเป็นเพียงพอแก่การรักษาพยาบาล
        • (ข) พยาบาลไว้ประจำอย่างน้อยสองคน
        • (ค) แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งอย่างน้อยสองคนประจำตามเวลาที่กำหนดในเวลาทำงานปกติคราวละไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง และ
        • (ง) ยานพาหนะพร้อมที่จะนำส่งลูกจ้างส่งสถานพยาบาล โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยชั้นหนึ่งที่นายจ้างได้ตกลงไว้ เพื่อให้การรักษาพยาบาลลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยได้โดยพลัน
อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ลงนามในกฎกระทรวงว่าด้วยการ จัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548 โดยจะมีผลบังคับใช้แทนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยสำหรับลูกจ้าง ตั้งแต่ วันที่ 25 กันยายน 2548 เป็นต้นไป กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินภารกิจ 3 ประการ ดังนี้ ข้อ 1 ในสถานที่ทำงานของลูกจ้าง ให้นายจ้างจัดให้มี
  1. น้ำสะอาดสำหรับดื่มไม่น้อยกว่าหนึ่งที่สำหรับลูกจ้างไม่เกินสี่สิบคน และเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนหนึ่งที่สำหรับลูกจ้างทุกๆ สี่สิบคน เศษของสี่สิบคนถ้าเกินยี่สิบคนให้ถือเป็นสี่สิบคน
  2. ห้องน้ำและห้องส้วมตามแบบและจำนวนที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการควบคุม อาคารและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และมีการดูแลรักษาความสะอาดให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำทุกวัน ให้นายจ้างจัดให้มีห้องน้ำและห้องส้วมแยกสำหรับลูกจ้างชายและลูกจ้างหญิง และในกรณีที่มีลูกจ้างที่เป็นคนพิการ ให้นายจ้างจัดให้มีห้องน้ำและห้องส้วมสำหรับคนพิการแยกไว้โดยเฉพาะ
ข้อ 2 ในสถานที่ทำงานของลูกจ้าง ให้นายจ้างจัดให้มีสิ่งจำเป็นในการปฐมพยาบาลและ การรักษาพยาบาล ดังต่อไปนี้
  1. สถานที่ทำงานที่มีลูกจ้างทำงานตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ต้องจัดให้มีเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลในจำนวนที่เพียงพอ อย่างน้อยตามรายการดังต่อไปนี้
    • (ก) กรรไกร
    • (ข) แก้วยาน้ำ และแก้วยาเม็ด
    • (ค) เข็มกลัด
    • (ง) ถ้วยน้ำ
    • (จ) ที่ป้ายยา
    • (ฉ) ปรอทวัดไข้
    • (ช) ปากคีบปลายทู่
    • (ซ) ผ้าพันยืด
    • (ฌ) ผ้าสามเหลี่ยม
    • (ญ) สายยางรัดห้ามเลือด
    • (ฎ) สำลี ผ้าก๊อซ ผ้าพันแผล และผ้ายางปลาสเตอร์ปิดแผล
    • (ฏ) หลอดหยดยา
    • (ฐ) ขี้ผึ้งแก้ปวดบวม
    • (ฑ) ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือโพวิโดน-ไอโอดีน
    • (ฒ) น้ำยาโพวิโดน-ไอโอดีน ชนิดฟอกแผล
    • (ณ) ผงน้ำตาลเกลือแร่
    • (ด) ยาแก้ผดผื่นที่ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ
    • (ต) ยาแก้แพ้
    • (ถ) ยาทาแก้ผดผื่นคัน
    • (ท) ยาธาตุน้ำแดง
    • (ธ) ยาบรรเทาปวดลดไข้
    • (น) ยารักษาแผลน้ำร้อนลวก
    • (บ) ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
    • (ป) เหล้าแอมโมเนียหอม
    • (ผ) แอลกอฮอล์เช็ดแผล
    • (ฝ) ขี้ผึ้งป้ายตา
    • (พ) ถ้วยล้างตา
    • (ฟ) น้ำกรดบอริคล้างตา
    • (ภ) ยาหยอดตา 
    •  
  2. สถานที่ทำงานที่มีลูกจ้างทำงานในขณะเดียวกันตั้งแต่สองร้อยคนขึ้นไป ต้องจัดให้มี
    • (ก) เวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลตาม ( 1 )
    • (ข) ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้อย่างน้อยหนึ่งเตียง เวชภัณฑ์และยานอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ตามความจำเป็นและเพียงพอแก่การรักษาพยาบาลเบื้องต้น
    • (ค) พยาบาลตั้งแต่ระดับพยาบาลเทคนิคขึ้นไปไว้ประจำอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลาทำงาน
    • (ง) แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อตรวจรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละสองครั้งและเมื่อรวมเวลาแล้วต้อง ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละหกชั่วโมงในเวลาทำงาน 
    •  
  3. สถานที่ทำงานที่มีลูกจ้างทำงานในขณะเดียวกันตั้งแต่หนึ่งพันคนขึ้นไป ต้องจัดให้มี
    • (ก) เวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลตาม ( 1 )
    • (ข) ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้อย่างน้อยหนึ่งเตียง เวชภัณฑ์และยานอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ตามความจำเป็นและเพียงพอแก่การรักษาพยาบาลเบื้องต้น
    • (ค) พยาบาลตั้งแต่ระดับพยาบาลเทคนิคขึ้นไปไว้ประจำอย่างน้อยสองคนตลอดเวลาทำงาน
    • (ง) แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อตรวจรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละสองครั้งและเมื่อรวมเวลาแล้วต้อง ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละหกชั่วโมงในเวลาทำงาน
    • (จ) ยานพาหนะซึ่งพร้อมที่จะนำลูกจ้างส่งสถานพยาบาลเพื่อให้การรักษาพยาบาลได้ โดยพลัน
ข้อ 3 นายจ้างอาจทำความตกลงเพื่อส่งลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาลกับสถานพยาบาล ที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและเป็นสถานพยาบาลที่นายจ้างอาจนำลูกจ้าง ส่งเข้ารับการ รักษาพยาบาลได้โดยความสะดวกและรวดเร็ว แทนการจัดให้มีแพทย์ตามข้อ 2 (2) หรือข้อ 2 (3) ได้โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย

พรบ.คุ้มครองแรงงาน พศ. 2541

"พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีสาระสำคัญดังนี้"

1. วันทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 6 วัน

2 . กำหนดเวลาทำงานปกติในทุกประเภทไม่เกิน 8 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมง / สัปดาห์
ถ้าเป็นการทำงานอันตรายต่อสุขภาพตามกฏกระทรวง กำหนดให้ทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมง / วัน หรือไม่เกิน 42 ชั่วโมง/สัปดาห์

3 . กำหนดเวลาพักระหว่างวันทำงาน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง อาจตกลงพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่รวมกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง / วัน

4 . กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน ห่างกันไม่เกิน 6 วัน และวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน รวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย สำหรับวันหยุดผักผ่อนประจำปี ไม่น้อยกว่า 6 วันทำการ เมื่อลูกจ้างทำงานครบ 1 ปี

1. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดภูเก็ตคือ 181 บาท/วัน

2. ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด
  • ทำเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้าง/ชั่วโมง
  • ทำงานในวันหยุดในเวลาปกติ / สำหรับวันหยุดที่ได้ค่าจ้างจะได้รับเพิ่มอีก 1 เท่า ในวันหยุดที่ไม่ได้รับค่าจ้างจะได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่าของค่าจ้างในวันทำงาน
  • ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ
3. ลูกจ้างทั้งชายและหญิง มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เท่าเทียมกันในงานที่มีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน
1. ลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันทำงาน

2. ลาคลอดได้ไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 45 วัน

3. ลาเพื่อรับราชการทหาร ได้ไม่เกินปีละ 60 วัน โดยได้รับค่าจ้าง

4. ลาเพื่อทำหมันได้รับค่าจ้างตลอดเวลาที่แพทย์วินิจฉัยให้หยุด

5. ลากิจธุระ อันจำเป็น แล้วแต่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน

6. ลาเพื่อเข้ารับการอบรม

วันหยุด

1. วันหยุดประจำสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน สำหรับลูกจ้างรายวันไม่ได้รับค่าจ้าง

2. วันหยุดตามประเพณี อย่างน้อยปีละ 13 วัน (รวมวันแรงงานแห่งชาติแล้ว) โดยได้รับค่าจ้าง

3. วันหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งนายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดดังกล่าว



1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้าง โดยลูกจ้างไม่มีความผิดดังนี้

1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วันแต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปีแต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปีแต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
5) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน

2. กรณีย้ายสถานประกอบการ นายจ้างต้องแจ้งให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน หากลูกจ้างไม่ต้องการไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ

3. ค่าชดเชยพิเศษ ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต
การจำหน่ายหรือการบริการ อันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี
หากนายจ้าง ไม่แจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา 60 วันนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษดังนี้

1) ลูกจ้างจะได้รับค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 60 วัน
2) ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยตามกฏหมาย
3) ลูกจ้างที่มีอายุงาน 6 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษปีละ 15 วัน เมื่อรวมค่าชดเชยทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 360 วัน

นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับใช้ได้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีสาเหตุอันสมควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นนักโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

1. ห้ามใช้แรงงานเด็ก อายุต่ำกว่า 15 ปีทำงานโดยเด็ดขาด

2. ห้ามใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในกิจการบางประเภท และทำงานระหว่างเวลา 22.00 น. - 06.00 น. ทำงานวันหยุดและทำงานล่วงเวลา

3. ห้ามใช้แรงงานเด็กในสถานที่ เต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง และตามที่กำหนดในกฏหมาย

4. ให้ลูกจ้างเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อรับการอบรม สัมมนา ที่จัดโดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ โดยได้รับค่าจ้างแต่ไม่เกิน 30 วันต่อปี

5. การว่าจ้างแรงงานเด็กต่ำกว่า 18 ปี ต้องแจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน
1. การใช้แรงงานหญิง ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานต่อไปนี้
  • งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลักษณะของงาน ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลูกจ้างหญิงนั้น
  • งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
  • งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
  • งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงที่มีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00น.-06.00น. ทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดหรือทำงานอย่างหนึ่งอย่างใด

3. ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์

4. ให้แรงงานหญิงมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน

5. ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงานหรือผู้ตรวจงาน ล่วงเกินทางเพศต่อแรงงานหญิง หรือเด็ก
1. ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 50 คน ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการทำงาน ระดับพื้นฐาน ระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร เพื่อดูแลความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบการร่วมกับนายจ้าง

2. การกำหนดให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ในการทำงานระดับหัวหน้างาน ระดับบริหาร และระดับวิชาชีพ

3. กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานประกอบด้วย นายจ้าง ผู้แทนระดบับังคับบัญชา ผู้แทนลูกจ้างระดับปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน โดยมีคณะกรรมการ ตามขนาดของสถานประกอบการ

4. การให้ความคุ้มครองอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับสภาพงานและได้มาตรฐานโดยให้นายจ้างเป็นผู้จัดให้ อาทิ ตามที่กำหนดในกฏกระทรวง ให้นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยสาวนบุคคลให้ลูกจ้างตามลักษณะของงาน และลูกจ้างต้องสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวตลอดเวลาการทำงานโดยบังคับ

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตัวอย่างการประกาศรับสมัครพนักงาน

สำหรับใคร ที่กำลังมองหางาน และรอคอยที่จะร่วมงาน กับ บ. ไม่ตัน วันนี้เรากำลังเปิดรับสมัครพนัก​งานเพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจอาหาร​ ของ บ. ไม่ตัน จำกัด
โดยมีตำแหน่งงานดังนี้ค่ะ

1. พนักงานบริการส่วนหน้าร้าน 30 ตำแหน่ง
2.ผู้ช่วยกุ๊ก 20 ตำแหน่ง
3. รีเซฟชั่นประจำสำนักงาน 1 ตำแหน่ง
4. ฝ่ายการตลาด 1 ตำแหน่ง
5. พนักงานบัญชี 1 ตำแหน่ง

สวัสดิการ ต่างๆ เบี้ยขยัน, incentive, กองทุนเลี้ยงชีพ, โบนัสประจำปี และการอบรม และพัฒนาศักยภาพในการทำงาน และสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล 02 - 716 5555 ต่อ 913 หรือ ส่งจดหมาย และเอกสารสมัครงานมาที่ hrd_food@mai-tan.com ภายใน วันที่ 20 กค. 2554 นี้ค่ะ
555+ เก็บไว้ใช้ได้ในอนาคต

ข่าววันที่ 11 กค. 2554

รัฐบาลเพื่อไทยชู3บิ๊กโปรเจกต์ 

พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่ารัฐบาลเพื่อไทย เตรียมเดินหน้าเมกะโปรเจกต์3โครงการ ได้แก่

โครงการถมทะเลต้นทุนต่ำ เพื่อนำไปใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ และประกาศขายนำกำไรไปพัฒนาแหล่งน้ำทั้งระบบ

โครงการที่2 พัฒนาโครงการขนส่งระบบรางเพื่อขยายความเจริญออกไปจากกรุงเทพฯ

และโครงการที่3 ระบบการจัดการน้ำ 25 ลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นการจัดการระบบชลประทานใหม่ให้มีน้ำใช้ตลอด

ที่มา :http://bit.ly/r4UfZY  จากโพสต์ทูเดย์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กูรูเสื้อผ้าหน้าผมเมาท์ยิ่งลักษณ์ 

นับตั้งแต่ตัดสินใจมาลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 พรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นที่จับตามองของสังคม ยิ่งพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่ว่าจะเยื้องย่างไปทางไหนก็กลายเป็นจุดสนใจ โดยเฉพาะการแต่งเนื้อแต่งตัว ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม ใครหน้อ...เป็นคนดูแล ส่วนจะเตะตาต้องใจเหล่าสไตลิสต์กูรูผู้มีความรู้เฉพาะด้านหรือไม่มีนานา ทัศนะแตกต่างกันออกไป
ในมุมมองของช่างผมคนดัง เล็ก-สายสุดา เชื้อวิวัฒน์ ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่นผมมาอย่างยาวนานถึง 32 ปี ปัจจุบันนอกจากเป็น Master Ambassador of L’Oreal Professional แล้ว เธอยังต้องดูแลกิจการซาลอนผมในกลุ่ม KG Group อีกด้วย สายสุดา บอกว่า แวบแรกที่เธอเห็นยิ่งลักษณ์บนโปสเตอร์หาเสียง ก็บ่งบอกได้แล้วว่า ว่าที่นายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยมีลุคที่สะท้อนภาพหญิงสาวธรรมดา อ่อนหวาน ติดดิน และรักสวยรักงามอยู่แล้ว
ถึงแม้เธอจะอยู่ในทรงผมที่เรียบ แต่จากสายตาช่างผมก็รู้ว่า ยิ่งลักษณ์ผ่านการกรูมมิงจากร้านซาลอนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่ผมตรงที่ไม่ได้ทำอะไรเลย รู้เลยว่าเธอค่อนข้างให้ความสำคัญกับความรักสวยรักงาม เพราะยิ่งลักษณ์มีสุขภาพเส้นผมที่ดี เส้นผมมีน้ำหนักและเงางาม
“คุณยิ่งลักษณ์ลุคที่ดูจากเส้นผมไม่ใช่ผู้หญิงคอนเซอร์เวทีฟ แต่เป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพผมที่ดี ไม่ใช่คนปล่อยปละละเลย เส้นผมมีประกายเงางาม มีการม้วนปลาย ผ่านการเซตมาอย่างดี เห็นกี่ครั้งๆ เวลาออกสู่สายตาประชาชนก็ยังดูดี สวยงาม” ช่างผมคนดังเปรย
ยิ่งลักษณ์เมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของประเทศแล้วจะ เปลี่ยนทรงผมหรือไม่ไม่มีใครทราบ แต่ช่างเล็กแนะนำว่ายิ่งลักษณ์โชคดีเพราะรูปหน้าไข่ เป็นใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แบบ หากจะเปลี่ยนทรงผมใหม่ จะไว้สั้นหรือยาวได้หมด แต่ถ้าอยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองให้กลายเป็นสาวคล่องแคล่วขึ้น ก็สามารถตัดผมให้สั้นลงได้ แต่จะดูกร้าวนิดหนึ่ง อาจจะยาวประบ่า เหมาะกับการออกกลางแจ้งพบปะประชาชน เวลาจะจัดแต่งทรงจะง่ายขึ้น ลุคออกมาเป็นผู้หญิงทำงาน
อีก 1 ทรงที่ช่างเล็กอยากแนะนำคือ การเลเยอร์ผม ให้เล่นระดับให้มีความยาวถึงระดับคาง เกือบถึงไหล่ พ้นไหล่ขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว และตัดเลเยอร์เพื่อผมมีวอลุมธรรมชาติ ผมจะดูเป็นธรรมชาติ และมีสุขภาพผมที่ดี
สำหรับสีสันบนใบหน้าของยิ่งลักษณ์ ทิวา วงศ์รักษ์ ซีเนียร์ เนชันรอล เมกอัพอาร์ติส บริษัท เอลก้า ประเทศไทย มองว่า มีดวงตาที่สวยและมีพลัง จึงควรแต่งโทนสีสโมกกีอายที่เน้นดวงตาให้มีพลังมากขึ้น เมื่อเราดูผ่านสื่อ เห็นว่าคุณยิ่งลักษณ์มีขั้นตอนการแต่งหน้าที่มีบุคลิกที่โดดเด่น ไม่ใช้โทนสีที่จัดจ้าน ไม่เข้ม แต่งแล้วดูเป็นธรรมชาติ เน้นจุดใดจุดหนึ่ง บางวันเน้นดวงตา คิ้วก็วาดเพียงบางๆ ไม่แต่งหน้าแบบแข่งกัน แต่ก็มีเหมือนกันที่ยิ่งลักษณ์พลาด แต่งหน้าแบบเน้นทั้งตา แก้ม และปาก ถือว่าเยอะเกินไป
“บางวันคุณยิ่งลักษณ์ออกสื่อ สีปากเป็นสีกลางๆ ไปจนถึงเข้ม แต่ทุกส่วนอ่อนหมด ถือว่าถูกต้อง เพราะเวลาคุณยิ่งลักษณ์พูดคนจะมองที่ปาก ผู้ฟังจะได้รับฟังสารอย่างเต็มที่ แต่คุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิงที่ถือว่าแต่งหน้าง่ายมาก เพราะมีรูปหน้าที่สวยคือรูปไข่ ทุกจุดบนใบหน้าสวยอยู่แล้ว ต้องดึงจุดเด่นขึ้นมาเพียงจุดเดียว”
สำหรับโทนสีที่จะแนะนำคือ คุมโทนสีอยู่ในโทนช็อกโกแลต ไทเกอร์ อาย หรือโทนสีเอสเปรสโซ ถือเป็นโทนสีกลางๆ จะทำให้บุคลิกดูน่าเชื่อถือ โทนสีต้องไม่จัดจ้าน
เธอบอกว่า วันไหนยิ่งลักษณ์แต่งตาเป็นโทนสีสโมกกีอายตอนเช้า ตอนเย็นจะไปอีกงาน ก็แค่เปลี่ยนสีลิปสติกเป็นสีอื่นก็ยังคงภาวะความเป็นผู้นำดูน่าเกรงขาม แต่แก้มต้องเป็นสีนู้ด ไม่อย่างนั้นจะดูตลก อย่างยิ่งลักษณ์ควรแต่งตาด้วยโทนสีสโมกกีอาย เพื่อเสริมความมั่นใจ อายไลเนอร์ และมาสคาราก็ต้องสีดำเท่านั้น สีน้ำตาลไม่เหมาะ
สำหรับคิ้วก็ต้องโทนสีเบาลงมา แก้มก็โทนสีกลางๆ ดูสดในพอประมาณ แล้วก็มาเน้นปาก จะเป็นสีกลางไปถึงเข้ม ทูโทน บราวน์โทนได้หมดเลย ริมฝีปากไม่ควรทาลิปกลอสมันเลื่อม เพราะเวลาออกทีวี ลิปกลอสจะทำให้ปากดูมีรีเฟล็กซ์ปากดูมันวาวเกินไป แทนที่คนจะฟังข้อมูล เปลี่ยนมาสนใจที่ปากแทน
อีกมุมมองหนึ่งของ ปฏิญญา เกี่ยวข้อง บรรณาธิการแฟชั่นนิตยสารเซเวนทีน ให้ความเห็นว่า ยิ่งลักษณ์แต่งตัวได้เฟิสต์อิมเพรสชันนิสในแบบบุคลิกกลางๆ ไม่มีอะไรทิ่มแทงสายตา ทรงผมโอเค. แต่งหน้าก็กำลังดี ไม่มีอะไรให้น่าวิพากษ์วิจารณ์ หรือดูโดดเด่นอะไรมากนัก
แต่สิ่งที่อยากให้ปรับอีกเล็กน้อยคือ ภาพที่เห็นในวันนี้ดูเป็นนักธุรกิจ มากกว่านักการเมืองมืออาชีพ อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ยิ่งลักษณ์สวมกางเกงเข้าชุดกับสูททับด้วยเสื้อตัวใน รวม 3 ชิ้น แบบที่เรียกว่า Paint Suits เป็นชุดที่ทะมัดทะแมงในการลงสนามหาเสียง แต่กลับยังไม่น่าประทับใจในฐานะนักการเมืองหญิงแข็งแกร่งสักเท่าไร
“อยากให้คุณยิ่งลักษณ์ลองเปลี่ยนมาสวมกระโปรงมากกว่านี้ค่ะ ทรงที่ผู้หญิงใส่แล้วลุคทรงพลังมากคือ กระโปรงทรงดินสอ ยิ่งคุณยิ่งลักษณ์สูงโปร่งกว่ามาตรฐานหญิงไทยทั่วไปอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ดูแข็งแกร่ง นักการเมืองหญิงที่แต่งตัวแล้วดูโปรเฟสชันแนลมากที่สุด ดิฉันขอยกให้ ฮิลลารี คลินตัน ทุกอิริยาบถดูมืออาชีพมาก” ปฏิญญาแนะชุดสูทซูเปอร์แบรนด์ ผ้าทวีตของชาแนล หรือดิออร์ ใครสวมก็ดูภูมิฐานคลาสสิก
แต่ถ้ากลัวถูกวิจารณ์สวมแบรนด์หรูหราเกินไป ผ้าไหมไทยก็ใส่ได้ ถ้าลองหันมาใส่สีสันบ้างก็จะทำให้สภาสดใสขึ้น แต่ก็ควรระวังสีสว่างๆ เกินไป เพราะเราคงไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีแฟชั่นนิสตา แต่นายกฯ ควรภูมิฐาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเฮดทูโทนดำไปหมดทั้งตัว สูทคลุมสะโพกบน สีที่ใส่ได้ทุกกาลเทศะ เช่น เบจ เทาหรือเทาชาโคล แมตช์กับกระโปรงสีดำ มีลูกเล่นที่ปกเชิ้ต หรือเบลาซ์ผูกโบ
ส่วนเครื่องประดับไม่ควรมากมายนัก เช่น ต่างหูเพชร หรือมุกเล็กๆ ใส่กับสร้อยเส้นยาวหรือเป็นโซ่เล็กๆ เบาๆ แต่ภาพรวมดูดีทั้งหน้าตาผิวพรรณและรูปร่างสวมใส่อะไรก็ดูดี
ได้ยินได้ฟังสไตลิสต์ด้านเสื้อผ้าหน้าผมแนะแบบนี้ฟังไว้บ้างก็ดี บางทีสื่อต่างประเทศจะจับจ้องมองเหมือน มิเชล โอบามา ภริยาประธานาธิบดีสหรัฐ หรือ ซาแมนธา คาเมรอน ภริยาสาวของนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ เดวิด คาเมรอน ซึ่งเธอทั้งสองไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่สื่อจับจ้องมองการแต่งตัว นายกฯ ปูอาจจะขึ้นทำเนียบผู้นำสวยติดอันดับโลกก็ได้ใครจะไปรู้ !!!

ที่มา :- http://bit.ly/rb4Phi  ขอบคุณโพสต์ทูเดย์
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นโยบายเพื่อไทย ทำลายขีดความสามารถ การแข่งขันไทยในเวทีโลก 

มีนโยบายที่ทำแล้วกระทบกับโครงสร้างเศรษฐกิจอยู่ 2 ประการ คือ นโยบายการจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท สำหรับแรงงานที่เข้าสู่ระบบใหม่ หากจบปริญญาตรีจะมีเงินเดือนเริ่มต้น 1.5 หมื่นบาท และจะขึ้นเงินเดือนแรกเข้าพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็น 1.5 หมื่นบาทเช่นกัน

แต่จะแลกกับการที่รัฐบาลจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เช่นกัน

ทางด้านนโยบายค่าเงินนั้น พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ยังไม่ชัดเจน เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โดยทีมเศรษฐกิจมีความเห็นว่าจะทำค่าเงินบาทคงที่ แต่ ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นจะปล่อยค่าเงินบาทให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่เชื่อว่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าจากเงินไหลเข้าเมื่อการเมืองมี เสถียรภาพ

แค่เพียงสองนโยบายนี้ก็ให้เอกชนแตกตื่นได้พอสมควร เพราะเกรงว่านโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะในเรื่องค่าจ้างนั้นจะไปกระทบกับโครง สร้างค่าจ้างทั้งประเทศ ไม่เพียงแต่ของเอกชน แต่ทั้งข้าราชการและรัฐวิสาหกิจก็จะได้รับการปรับเงินเดือนยกแผงเช่นกัน

สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น หากรัฐบาลจะทำจริงก็ทำได้ แต่อธิบดีกรมบัญชีกลางก็ระบุออกมาแล้วว่า หากปรับเงินเดือนให้พนักงานแรกเข้า ก็จะต้องปรับให้กับข้าราชการทุกระดับชั้นไล่กันขึ้นไป ซึ่งจะใช้เงินมหาศาล หากจะทำก็จะต้องทำเป็นขั้นบันไดดีกว่า

ส่วนเอกชนนั้น รัฐบาลคงจะไปบังคับให้จ่ายค่าจ้างได้ นอกจากจะแก้ไขกฎหมาย ล้มคณะกรรมการไตรภาคี ที่มาจาก 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ ที่ก่อนจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้งใช้เวลานานหลายเดือนกว่าทั้งสามฝ่าย จะตกลงกันได้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เอกชนเริ่มสงสัยว่ารัฐบาลจะส่งเสริมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือทำลายขีดความสามารถการแข่งขันกันแน่ เพราะค่าแรงงานของไทยจะสูงกว่าเพื่อนบ้านโดยเฉพาะแรงงานไม่มีฝีมือ และจะทำให้เกิดการไหลออกของการลงทุน หรือต่างชาติจะเข้ามาลงทุนใหม่ก็จะชะงักการลงทุนหันไปลงทุนในประเทศอื่นที่ มีค่าจ้างต่ำกว่า

ส่วนผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีเบี้ยน้อยหอยน้อยอยู่แล้ว จะยิ่งมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากการจ้างคนงาน วิธีการหนีตายก็คือจ้างงานลดลงเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เท่าเดิม

ปัจจุบันหน่วยงานเอกชนก็จ้างงานตามฝีมือแรงงานอยู่แล้ว หากมีความเชี่ยวชาญพิเศษในอาชีพหรือเป็นแรงงานมีฝีมือก็จะได้ค่าจ้างสูงกว่า ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว จึงไม่เห็นด้วยว่าการจะใช้ค่าจ้างเท่ากันทุกพื้นที่ โดยไม่แยกแรงงานมีฝีมือหรือไม่มีฝีมือ เพราะจะสร้างปัญหามากกว่าจะใช้ค่าจ้างเป็นเครื่องมือแบ่งแยกฝีมือแรงงาน

พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากให้ภาคธุรกิจแบกภาระเพิ่ม อาจกระทบต่อการจ้างงานหรือการย้ายฐานผลิตในอนาคตได้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางให้ชัดเจน

“เรื่องค่าแรงงานก็น่าจะยึดมติไตรภาคี เข้าใจดีว่าค่าแรงงานเท่าไหร่ที่เหมาะสมกับพื้นที่ใดบ้าง ไม่ควรขึ้นแบบไร้เหตุผล” รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าว

พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อครั้งรัฐบาลก่อนค่าบาทแข็งเกินไปจนกระทบต่อการผลิตและการส่งออก ทำให้หลายธุรกิจประสบปัญหา ก็ร้องขอให้แก้ไขด่วน เพื่อให้ค่าบาทไม่แข็งหรืออ่อนเกินประเทศคู่แข่ง เมื่อปัญหาหมดลง การส่งออกและการทำธุรกิจก็ดีขึ้น อยากให้รัฐบาลใหม่ฟังความเห็นของภาคเอกชนด้วยว่านโยบายนั้นทำแล้วได้ผลดี น้อยกว่าผลเสียหรือไม่ หากกำหนดผิดระยะยาวจะเป็นโทษกับประเทศเอง เช่น ส่งออกข้าว หากบาทแข็งแต่คู่แข่งอย่างเวียดนามค่าเงินด่องอ่อนตัวต่อเนื่อง ข้าวไทยก็แพงกว่าเวียดนาม เราจึงมีปัญหาในเรื่องการส่งออกได้ยากขึ้นมาตลอด

ทำไมภาคเอกชนถึงบ่นเรื่องต้นทุนสูงและบ่นถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน มากนัก คำตอบคือ นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่านโยบายเงินบาทแข็งไม่ได้แก้ปัญหาเงินเฟ้อเพราะเงินเฟ้อมาจากหลาย ปัจจัย ตรงกันข้ามการใช้นโยบายบาทแข็งคือการฆ่าตัวตายเพราะประเทศไทยมีโครงสร้าง เศรษฐกิจพึ่งพาส่งออก ทำให้มีรายได้เข้าประเทศคิดเป็น 70% ของรายได้รวมแต่ละปี เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะทำให้เงินหายจากระบบเมื่อคำนวณส่วนต่างของค่าเงิน หรือค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ส่งออกสินค้าได้น้อยลงถ้าโดนประเทศคู่แข่ง ตัดราคา

IMD หรือ Institute for Management Development ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชน ตั้งอยู่ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันประจำปี 2554 จากการทำการสำรวจ 59 ประเทศทั่วโลก พบว่ากลุ่มอาเซียนมีความสามารถในการแข่งขันลดลงยกกลุ่ม และ WEF หรือ World Economic Forum เป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงกำไร ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็มีเกณฑ์ในการจัดอันดับที่แตกต่างกัน สรุปโดยสังเขปได้ดังนี้

ประเทศไทยมีอันดับลดลงจากอันดับที่ 26 ในปี 2553 เป็นอันดับที่ 27 ในปี 2554 โดยสิงคโปร์ที่เคยอยู่ในอันดับที่ 1 ในปีที่ผ่านมาลดลงมาเป็นอันดับที่ 3 รองจากฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา มาเลเซียลดลงจากอันดับที่ 10 เป็น 16 ในปีนี้ ส่วนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีอันดับลดลงจากอันดับที่ 35 และ 39 เป็นอันดับที่ 37 และ 41 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยที่ได้รับ กลับมีคะแนนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากคะแนนเฉลี่ย 73.2 ในปี 2553 เป็น 74.9 ในปี 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นของประเทศไทย แต่ยังคงน้อยกว่าบางประเทศที่มีคะแนนเพิ่มขึ้นได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ที่เคยมีอันดับต่ำกว่าประเทศไทยและสลับกลับขึ้นมามีอันดับสูงกว่าประเทศไทย 1 อันดับในปีนี้ จากอันดับที่ 27 ในปี 2553 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2554 และ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า การที่ประเทศไทยจะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกเหนือจากการพิจารณาปัจจัยภายในประเทศแล้ว ยังต้องคำนึงถึงพัฒนาการของประเทศอื่นๆ

จากการสำรวจตามแบบสอบถามที่บริษัทจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันส่ง ไปยังนักธุรกิจทั่วโลก ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุด 5 อันดับในการทำธุรกิจในประเทศไทย คือ ปัญหาด้านความมั่นคงของรัฐบาลและความเสี่ยงในการมีรัฐประหาร ความไม่มั่นคงของนโยบาย ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ การคอร์รัปชัน และปัญหาด้านเงินเฟ้อ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหา 4 ใน 5 ข้อ ล้วนมาจากเกณฑ์ด้านสถาบันและโครงสร้างการบริหารราชการ

จุดที่ยังต้องปรับปรุง ได้แก่ ระดับรายได้ต่อคนของประชากร การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่ค่อนข้างต่ำ ด้านการศึกษาที่อัตราส่วนของครูต่อนักเรียนยังสูง ในขณะที่อัตราการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมยังต่ำ
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ระยะเวลาที่ใช้ในการเริ่มตั้งธุรกิจใหม่ ผลิตภาพของแรงงานและของประเทศโดยรวม และเรื่องที่มีประเด็นที่ต้องปรับปรุงค่อนข้างมาก คือ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี อาทิ เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และอินเทอร์เน็ต จำนวนบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศยังน้อย

แม้ค่าจ้างจะไม่ได้อยู่ในจุดอ่อนของประเทศไทย แต่เรื่องระดับความสามารถฝีมือแรงงานนั้นอยู่แน่ๆ เพราะการจะพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ขั้นของการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ถูก ขึ้น จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือทักษะสูงกว่าที่เป็นอยู่

การขึ้นค่าจ้างนั้น โดนทุกฝ่ายวิพากษ์แล้วว่าจะเป็นแรงกดดันให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล เพราะมีการคาดการณ์ค่าจ้างล่วงหน้า ราคาสินค้าก็จะปรับราคาไปดักหน้าไว้ก่อนทุกครั้ง และยิ่งในปีนี้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตจะมีแนวโน้มระดับราคาสูงต่อเนื่องหรือทรง ตัว โอกาสที่จะเห็นเงินเฟ้อต่ำจึงยากมาก

ดังนั้น นโยบายหลายประการของพรรคเพื่อไทย ที่ได้ประกาศออกมาเมื่อครั้งที่หาเสียง เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ โดยเฉพาะไปขัดกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ที่ ทักษิณ ชินวัตร มักจะกล่าวว่า จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น

แต่นโยบายที่ขัดกับยุทธศาสตร์ของตัวเอง และจะไปทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน มากกว่าจะไปช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ในที่สุดแล้วก็จะต้องถูกทบทวน หากทนต่อกระแสไม่ได้
แต่ทางออกให้สวยงามหากไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้กับประชาชนเมื่อตอนหา เสียงนั้น เชื่อว่างานนี้คงมีการโยนบาปให้เอกชนว่า การที่ไม่สามารถขึ้นค่าจ้างได้ตามสัญญาเพราะเอกชนคัดค้าน ไม่ใช่รัฐบาลไม่อยากทำ

ที่มา :- http://bit.ly/nbSzT0  ขอบคุณโพสต์ทูเดย์
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตอบคำถามชาย - เรื่องเกี่ยวกับแรงงาน

ที่มา
http://www.phuketlabour.org/law.htm

เกี่ยวกับสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานไ้ด้แก่
http://www.labour.go.th/welfare/index.html

ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำประักันสังคม
http://115.31.136.62/sites/default/files/Download8.pdf

ข้อบังคับเกี่ยวกับการจ้างคนพิการในกิจการ
http://115.31.136.62/sites/default/files/Rule_Ministry_of_Labour54.PDF

กฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องร้องนายจ้าง
http://115.31.136.62/sites/default/files/2548-a0003.pdf

ข้อมูลอื่นๆ จากเวบไวซด์ กระทรวงแรงงาน
http://www.mol.go.th/anonymouse/home

วันที่ 9 กค. 2554

น้องสิงโต - คอนเสริ์ตพาวเวอร์ ทรี @ ระยอง ค่ะ..น่ารักอ่ะ ร้อง 3เพลง
 เพลงแรก Lovely Girl
http://www.youtube.com/watch?v=QZbkK-drBFw

เพลงที่สอง จุดอ่อนของฉันอยุ่ที่หัวใจ..เพราะอ่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=Sq46jZzCGgg

เพลงสุดท้าย เพลงนี้..น่ารักอ่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=sArMlB4WkMY

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันที่ 8 กค. 2554

ช่วงนี้ต้องเข้าโหมดวิชาการหน่อยซะแล้ว 555+
เพราะกำลัง change ตัวเอง ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งจ้า

มาเริ่มที่ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีก่อนดีกว่า
ขอเป็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับตัวเองละกัน..ขอแบบใกล้ตัวไว้ก่อนไรงี้ อิอิ
ก็ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั่นเอง  มาดูว่ามีข้อมูลอะไรที่น่ารู้่บ้าง
ขอบคุณลิงก์จากกรมสรรพากรด้วยนะคะ ^^
http://www.rd.go.th/publish/309.0.html

เพิ่มเติมด้วยข้อคิดสะกิดใจ จากกรมสรรพากรค่ะ
http://www.rd.go.th/publish/41745.0.html

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันที่ 6 กค. 2554

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/97912/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-2554-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

ปิดฉากเลือกตั้ง 2554 กับสถิติการเมืองไทย

รวมสถิติการเมืองที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง 2554 ซึ่งนับว่ามีการสร้างสถิติใหม่ที่น่าสนใจไว้มากมาย
โดย...ทีมข่าวการเมือง
กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย นาม “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จากพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ได้สร้างสถิติที่น่าสนใจไว้มากมาย ซึ่งทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ได้รวบรวมเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
1."ชินวัตร"สร้างประวัติศาสตร์เลือกตั้ง
นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี 2541 และลงเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าการเลือกตั้งทั่วไป 4 ครั้งที่ผ่านมา ได้แก่ ปี 2544 2548 2550 และ 2554 ไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในชัยชนะดังกล่าวยังได้สร้างสถิติใหม่ๆ ให้กับการเมืองไทยด้วย เช่น เป็นรัฐบาลชุดแรกตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่อยู่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี (2544-2548) ส่วนการเลือกตั้งปี 2548 พรรคไทยรักไทยได้ สส.ถึง 377 คน จากทั้งหมด 500 คน จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรก
แม้ว่าในปี 2550 พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ และต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น “พรรคพลังประชาชน” แต่เมื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้งในปีเดียวกันก็ยังกำชัยชนะไว้ได้ภายใต้การกุม บังเหียนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยคะแนนเสียง 233 เสียง และถึงจะถูกยุบพรรคอีกรอบต้องเปลี่ยนมาเป็น “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังชนะการเลือกตั้งได้อย่างท่วมท้นถึง 265 เสียง ปูทาง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศ
2."ประชาธิปัตย์"ไม่เคยชนะมา 19 ปี
เมื่อเอ่ยถึงชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ถ้าจะไม่เอ่ยถึงพรรคประชาธิปัตย์คงจะไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งปี 2554 ได้เป็นการเพิ่มสถิติให้กับพรรคการเมืองนี้อย่างไม่เต็มใจ ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วถึง 19 ปี โดยชัยชนะครั้งล่าสุดของพรรคต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือน ก.ย. 2535 ครั้งนั้นพรรคได้เสียงข้างมากจำนวน 79 คน และได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ คนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ได้เข้าบริหารประเทศเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง ก่อนสิ้นสุดตำแหน่งด้วยการประกาศยุบสภา
นับจากนั้นเป็นต้นมา การเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์อีก 2 ครั้งต่อมา ในปี 2540-2543 และ 2551-2554 ล้วนเป็นรัฐบาลที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระหว่างอายุสภาผู้แทน ราษฎร ซึ่งทำให้การเมืองเกิดการเปลี่ยนขั้วให้ ชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกฯ สมัย 2 ในปี 2540 และสร้างฝันให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำประเทศครั้งแรกในปี 2551 ซึ่งการเป็นนายกฯ ในครั้งหลัง ยังเป็นการหยุดการเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ที่กินเวลามานานถึง 8 ปีเต็ม
3.เซอร์ไพรส์ทางการเมือง
เซอร์ไพรส์การเมืองในที่นี้มี 2 แบบ โดยแบบแรกเป็นแบบ “ไม่คาดว่าจะได้” คงต้องยกให้กับ พัชรินทร์ มั่นปาน พรรคประชาธิปไตยใหม่ และอภิรัต ศิรินาวิน จากพรรคมหาชน ซึ่งเป็น 2 พรรคการเมืองม้านอกสายตา โดยแทบไม่รู้มาก่อนเลยว่าส่งลงสมัคร สส.ด้วย หรือแม้แต่พรรครักประเทศไทยของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ก็สามารถสร้างกระแสจนพา สส.เข้าสภาได้ถึง 4 คน คงต้องรอดูว่าพรรคเบี้ยหัวแตกเหล่านี้จะสร้างผลงานการทำงานในฐานะฝ่าย นิติบัญญัติได้จี๊ดจ๊าดขนาดไหน
เมื่อมีคนได้แบบไม่คาดคิดแล้ว ก็ต้องมีพวกสอบตกแบบไม่คาดคิดเช่นกัน ส่วนใหญ่ต้องจัดอยู่ในพวก “รัฐมนตรีสอบตก” เริ่มที่ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” รมช.คลัง พรรคชาติไทยพัฒนา เจ้าของนโยบายกุญแจสองดอก รอบนี้สอบตกในตำแหน่งผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 5 เพราะคะแนนของพรรคพา สส.ปาร์ตี้ลิสต์เข้าสภาแค่ 4 คนเท่านั้น
“ศุภชัย โพธิ์สุ” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ของพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่เขต 1 จ.นครพนม อยู่มาอย่างยาวนาน แต่มาเที่ยวนี้แพ้ให้กับ “ยุทธจักร เรืองวรบูรณ์” ของพรรคเพื่อไทยแบบไม่มีทางสู้ เช่นเดียวกับ “ไชยยศ จิรเมธากร” รมช.ศึกษาธิการ ลงสมัครเขต 4 อุดรธานี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ จากเดิมอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน สุดท้ายก็ต้องจอดป้ายเอาไว้แค่นี้ เพื่อให้ “ขจิตร ชัยนิคม” จากพรรคเพื่อไทยเข้าไปทำหน้าที่ สส.แทน
ที่สำคัญคงจะขาดไปไม่ได้สำหรับ “สุวิทย์ คุณกิตติ” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานพรรคกิจสังคม ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 โดยไปไม่ถึงดวงดาวอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันแล้วที่นักการเมืองใหญ่ภาคอีสานรายนี้สอบตก
4.หายยกครัวเฮ! ยกกลุ่ม
“ฉายแสงตันเจริญ” คือ 2 ครอบครัวที่ผูกขาดสนามเลือกตั้ง จ.ฉะเชิงเทรา มาอย่างยาวนาน ในรอบนี้ไปพลาดพลั้งอีท่าไหนถึงได้สูญพันธุ์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไล่มาตั้งแต่ “ฐิติมา” พรรคเพื่อไทย เขต 1 แพ้ให้ “บุญเลิศ ไพรินทร์” ของประชาธิปัตย์ “วุฒิพงศ์” พรรคเพื่อไทย เขต 4 แพ้หมดรูปให้กับ “พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ” ของพรรคประชาธิปัตย์
ส่วน “ณัชพล” พรรคภูมิใจไทย เขต 2 แพ้ “สมชัย อัศวชัยโสภณ” จากพรรคเพื่อไทย และ “พิเชษฐ์” พรรคภูมิใจไทย เขต 3 พ่าย “รส มะลิผล” จากพรรคเพื่อไทย ไม่ต่างอะไรกับตระกูล “ไกรวัตนุสสรณ์” ของพรรคเพื่อไทย เพราะไม่สามารถครองอำนาจในสนามสมุทรสาคร โดยทั้ง “อนุสรณ์มณฑล” เสียเก้าอี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย
ขณะที่ เฮ! ยกกลุ่ม ต้องยกให้กับ “คนเสื้อแดง” เพราะหลังจากสลายการชุมนุมมาตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ก็ได้รับการประคบประหงมจากพรรคเพื่อไทยมาตลอด โดยเฉพาะการให้ลงสมัคร สส.ในลำดับต้นกันหลายต่อหลายคน เบ็ดเสร็จ 11 คน ประกอบด้วย 1.จตุพร พรหมพันธุ์ 2.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 3.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก 4.พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย 5.นพ.เหวง โตจิราการ 6.รพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยา อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง 7.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล 8.วิภูแถลง ภูมิพัฒพงษ์ไทย 9.เยาวนิตย์ เพียงเกษ ภรรยา อดิศร เพียงเกษ 10.ก่อแก้ว พิกุลทอง และ 11.วิเชียร ขาวขำ
ที่สำคัญ กำลังจะได้ของแถมเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ทำให้ราคาหุ้นของคนเสื้อแดงแรงพุ่งขึ้นทะลุเพดานไปแล้ว
5.เปลี่ยนสนามเลือกตั้งเป็นสนามรบ
การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องยอมรับว่าเป็นครั้งหนึ่งที่มีเหตุการณ์ความไม่ สงบมากมาย ทั้งในระดับเล็กน้อยและระดับรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยก่อนหน้านี้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง (ศรส.ลต.ตร.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปตัวเลขเอาไว้อย่างไม่เป็นทางการว่า ป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ได้ถูกทำลายไปกว่า 1,527 ป้าย
ส่วนเหตุการณ์ที่ถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตได้ปรากฏเป็นที่จับตาของ สังคมด้วยกัน 3 กรณี คือ 1.วิโรจน์ ดำสนิท อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง หัวคะแนนของพรรคชาติไทย 2.สุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ลพบุรี หัวคะแนนพรรคภูมิใจไทย และ 3.วิทยา ศรีพุ่ม นายก อบต.ดอนใหญ่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี หัวคะแนนพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังได้เกิดเหตุการณ์ลอบยิง ประชา ประสพดี ผู้สมัคร สส.สมุทรปราการ กลางเมืองพระประแดง แต่เคราะห์ดีที่ไม่เสียชีวิต
6.หน้าแตกกระจุย
การจัดทำบทสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (โพล) กลายเป็นสีสันหนึ่งของการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ปรากฏว่าการทำเอกซิตโพลล์ของแต่ละสำนักเกิดปรากฏการณ์คลาดเคลื่อนอย่าง แรง เฉพาะในสนาม กทม. เพราะทันทีที่สิ้นสุดเวลา 15.00 น. ผลที่ออกมาสร้างความใจหายให้กับพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมาก เพราะระบุว่าพรรคเพื่อไทยได้ไปถึง 22 ที่นั่ง แต่สุดท้ายประชาธิปัตย์ยังรักษาความเป็นผู้นำในสนามเมืองหลวงได้อย่างต่อ เนื่องเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยจำนวน 23 ต่อ 10 ที่นั่ง ทำให้สำนักโพลต้องรีบไปเข้าคิวใช้หลักประกันสุขภาพให้หมอเย็บหน้าโดยเร็ว
7.คนไทยรวมใจใช้สิทธิ
ประชาชนได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 34,749,326 คน คิดเป็น 73.91% น้อยกว่าปี 2550 ที่มีถึง 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45% โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรเสียในระบบเขต 1,998,170 ใบ คิดเป็น 5.75% บัญชีรายชื่อ 1,679,290 ใบ คิดเป็น 4.83% และมีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน แบบแบ่งเขต คิดเป็น 4.04% ส่วนแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็น 2.76% ทั้งนี้ จ.ลำพูน คว้าแชมป์ผู้ไปใช้สิทธิมากที่สุด 88.61%