วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ SMEs

space
ธนาคารแห่งประเทศไทย ( www.bot.or.th)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  (www.moac.go.th)
กระทรวงอุตสาหกรรม (www.industry.go.th)
กระทรวงพาณิชย์  (www.moc.go.th)
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (www.smethai.net)
กรมส่งเสริมการเกษตร (www.doae.go.th)
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (www.oae.go.th)
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (www.nso.go.th)
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (www.oie.go.th)
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (www.boi.go.th)
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.)  
     (http://cms.sme.go.th/cms/web/osmep)
สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (www.ismed.or.th)

เกี่ยวกับ SMEs ในเชิงมุมกรมสรรพากร

ที่มา : http://www.rd.go.th/publish/38056.0.html


space
           วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises = SMEs) เป็นธุรกิจที่มีจำนวนมากในประเทศไทย ผู้ประกอบการส่วนมากประกอบการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือกิจการร่วมค้า ซึ่งจะประกอบธุรกิจขายสินค้า ผลิตสินค้า หรือให้บริการ ทุกธุรกิจจะเกี่ยวข้องกับหน้าที่ทางภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
           การกำหนดลักษณะ SMEs หน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทยมักจะใช้กำหนดลักษณะตามกฎกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดจำนวนการจ้างงาน และมูลค่าสินทรัพย์ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2545
           สำหรับกรมสรรพากร ประมวลรัษฎากรไม่ได้มีคำนิยาม SMEs ไว้ว่ามีลักษณะอย่างไร แต่ได้อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจ SMEs เช่น ลดอัตราภาษีเงินได้ ยกเว้นภาษีเงินได้ การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราเร่ง เป็นต้น
           กำหนดลักษณะธุรกิจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543 และกำหนดลักษณะธุรกิจตามประมวลรัษฎากร สรุปได้ดังนี้

1. กำหนดลักษณะธุรกิจ SMEs ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543
           ตามกฎกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดจำนวนการจ้างงานและมูลค่าสินทรัพย์ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2545 อาศัยอำนาจพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543 ได้กำหนดลักษณะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
space
ลักษณะวิสาหกิจ
จำนวนการจ้างงาน
 (คน)
จำนวนสินทรัพย์ถาวร
(ล้านบาท)
ขนาดย่อม
ขนาดกลาง
ขนาดย่อม
ขนาดกลาง
กิจการผลิตสินค้า
ไม่เกิน 50
51-200
ไม่เกิน 50
51-200
กิจการค้าส่ง
กิจการค้าปลีก
ไม่เกิน 25
ไม่เกิน 15
26-50
16-30
ไม่เกิน 50
ไม่เกิน 30
51-100
31-600
กิจการให้บริการ
ไม่เกิน 50
51-200
ไม่เกิน 50
51-200

space
* ในกรณีที่จำนวนการจ้างงานของกิจการใดเข้าลักษณะของวิสาหกิจขนาดย่อม แต่มูลค่าสินทรัพย์ถาวรเข้าลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางหรือมีจำนวนการจ้างงาน เข้าลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลาง แต่มูลค่าสินทรัพย์ถาวรเข้าลักษณะของวิสาหกิจขนาดย่อม ให้ถือจำนวนการจ้างงานหรือมูลค่าสินทรัพย์ถาวรที่น้อยกว่าเป็นเกณฑ์การ พิจารณา

2. กำหนดลักษณะธุรกิจที่กรมสรรพากรอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
     ประมวลรัษฎากรได้กำหนดลักษณะของธุรกิจที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยธุรกิจต้องมีลักษณะ ดังนี้
space
ลำดับที่
ลักษณะ
1.
เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของ
 รอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5 ล้านบาท
2.
เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดิน ไม่เกิน 200 ล้านบาท
 และจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน
3.
เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
MAI
4.
เป็น VC (Venture Capital) ที่ถือหุ้นในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสินทรัพย์
ถาวร ไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท และจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน
5.
เป็นกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่มีรายรับไม่เกิน 1.8
 ล้านบาทต่อปีหรือต่อรอบระยะเวลาบัญชี ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

space
            * การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะกำหนดหลักเกณฑ์ธุรกิจ SMEs ลักษณะใดลักษณะหนึ่งในการให้สิทธิประโยชน์นั้น ๆ เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของ รอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิ 150,000 บาทแรก หรือบริษัทฯ ที่มีแรงงานไม่เกิน 200 คน จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคา ในอัตราเร่ง เป็นต้น        
            ดังนั้น บริษัทใดที่เข้าหลักเกณฑ์ธุรกิจ SMEs หลายลักษณะก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้นตามลักษณะนั้นๆ
space
รูปแบบธุรกิจ SMEs

           การประกอบธุรกิจต่าง ๆ อาจจะกระทำตั้งแต่คนเดียวขึ้นไป หากมีหุ้นส่วนร่วมกันหลายคน ก็มักจัดตั้งในรูปของนิติบุคคลรูปแบบธุรกิจมีลักษณะแตกต่างกัน ปรากฏดังตารางสรุป

ตารางสรุปรูปแบบธุรกิจ
space
ลำดับที่
รูปแบบ
ลักษณะ
1
บุคคลธรรมดา
บุคคลทั่วไปที่มีชีวิตอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
 (มาตรา15)
2
คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกัน
โดยไม่มีวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ
 (หน่วยภาษีตามมาตรา 56แห่งประมวลรัษฎากร)
3
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่
นิติบุคคล
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกัน
 โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ
 (หน่วยภาษีตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)
4
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนนิติบุคคล
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน
 โดยหุ้นส่วนทุกคนไม่จำกัดความรับผิดและต้องจดทะเบียน
เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
5
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน
หุ้นส่วนมีทั้งที่จำกัดความรับผิดและไม่จำกัดความ รับผิดและต้อง
จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
6
บริษัทจำกัด
บุคคลตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้น
รับผิดในหนี้ต่าง ๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนลงทุน
และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์
7
บริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยความประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นต่อ
ประชาชนให้ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัด ไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้น
ที่ต้องชำระ และบริษัทดังกล่าวได้ระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้
ในหนังสือบริคณห์สนธิ (มาตรา 15 พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด)
8
กิจการร่วมค้า
กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไรระหว่าง
บริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
หรือระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับ
บุคคลธรรมดาคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ
หรือนิติบุคคลอื่น
   - เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร (มาตรา 39)
9
นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย
ต่างประเทศ
10

กิจการที่ดำเนินการค้า
หรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ
หรือองค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
เป็นกิจการของรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การของรัฐบาล
ต่างประเทศ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม
ประมวลรัษฎากร
   - เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร (มาตรา 39)
11
มูลนิธิหรือสมาคม
เป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรและมีหน้าที่เสียภาษี
เงินได้นิติบุคคลแต่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ถ้าเป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การคลังประกาศให้เป็นองค์การสาธารณะกุศล

space

9-8-54

ทำธุรกิจ SMEs

ความรู้เกี่ยวกับ SMEs เบื้องต้น
          วิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็ได้สร้างความเสียหายให้กับนักธุรกิจมากมายทั้งรายใหญ่ รายเล็ก ซึ่งก็มีหลายหน่วนยงาน
ที่ระดมความคิดเห็นและแนวทางแก้ไขมากมาย และเช่น ส่งเสริมการส่งออก เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมธุรกิจ
ท่องเที่ยว ต่างๆ มาตรการที่ได้กล่าวมานั้นยังได้รวมถึงข้อสรุปอีกประการหนึ่งของหลายๆฝ่ายนั่นคือ การสนับสนุน
และส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่ง มีมากกว่า 90% ของจำนวนทั้งหมดในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กิจการ
การผลิต การค้า และธุรกิจบริการ
มากกว่านั้น SMEs ยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ดังเช่น
                       1. ช่วยสร้างงาน
                       2. สร้างมูลค่าเพิ่ม
                       3. สร้างเงินตราต่างประเทศ
                       4. ลดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ
                       5. เป็นจุดเริ่มต้นในการประกอบการธุรกิจ
                       6. เชื่อมโยงกับกิจกรรมขนาดใหญ่ และภาคการผลิตอื่นๆ 
                       7. เป็นแหล่งพัฒนาทักษะฝีมือ
                       8. สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ
           SMEs (Small and Medium Enterprises) คือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีความหมายรวมถึง
อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) กิจการค้าส่งและค้าปลีก (Whole sale and Retail) และกิจการ
บริการ (Service)
             ซึ่งเกณฑ์ในการจัดอุตสาหกรรม เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลาง หรือ เล็กนั้นมีหลายวิธี แต่โดยทั่วไปจะใช้ จำนวนคนงาน
(ขนาดการจ้างงาน) จำนวนเงินลงทุน มูลค่าทรัพย์สิน จำนวนยอดขาย หรือรายได้เป็นเกณฑ์  กิจการใดจะเข้าข่ายเป็น SMEs
 หรือไม่กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดเกณฑ์ดังนี้
สถานประกอบการ จำนวนคนงาน จำนวนเงินทุน
ขนาดเล็ก ไม่เกิน 50 คน ไม่เกิน 20 ล้าน
ขนาดกลาง ระหว่าง 50-200 คน ระหว่าง 20 ถึง 200 ล้าน
          อย่างไรก็ตามธุรกิจ SMEs บ้านเราก็ยังมีปัญหาหลายประการ เช่น ด้านการตลาด ขาดแหล่งเงินทุน ด้านแรงงาน เทคโนโลยีการผลิต
ขีดจำกัดด้านการบริหารและจัดการ  ปัญหาด้านการส่งเสริมของรัฐและเอกชน ปัญหาด้านการให้บริการของรัฐ และการรับรู้ข่าวสารดังนั้นการให้ความสำคัญ
กับธุรกิจ SMEs จึงมีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพราะเป็นปัญหาพื้นฐานของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่แท้จริงและเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน
ด้วย หรือ เมื่อธุรกิจ SMEsอยู่รอดและเติบโตได้ ภาคอุตฯการผลิตที่แทั้จริง (Real Sector) ก็จะอยู่รอดได้เช่นกันปัญหาของ SMEs ในประเทศไทย
          ปัจจุบันกิจการประเภท SMEs ของไทย คิดเป็น 95 %  ของธุรกิจทั้งหมด และมีการจ้างงานกว่า 50 % ของธุรกิจทั้งหมด SMEs จึงมีส่วนสำคัญ
ต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาธุรกิจขนาดใหญ่ต่อไป 
          อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ SMEs ของไทย ก็ยังมีปัญหาหลายประการ ซึ่งพอจะสรุปได้ 8 ประการใหญ่
                            1. การขาดซึ่งจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (Lack of Entreprenuership) 
                                การเป็นผู้ประกอบการจะต้องมีคุณสมบัติหลายประเภท เช่น ความเป็นผู้นำ การกล้าได้กล้าเสีย ต้องเป็นนาย
                                ของตัวเออง การรักความท้าทาย รักความเป็นอิสระ มีระเบียบวินัยในตัวเองสูง
                            2. การจัดการและการบริหารไม่มีประสิทธิภาพ 
                                ความสามารถในด้านการจัดการองค์กร การเงิน การบัญชี การตลาด บุคลากร ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของ SMEs  
                            3. การขาดบุคคลาการหรือผู้เชี่ยวชาญธุรกิจ SMEs มักจะเริ่มต้นจากความถนัดหรือความชำนาญเฉพาะด้านของผู้ประกอบการ
                                นั้นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งและดำเนินต่อไป จนกว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
                            4. การขาดแรงงานทีมีฝีมือแรงงานที่มีฝีมือ (Skilled Worker) คือจุดเริ่มต้นของคุณภาพสินค้า ซึ่งพนักงานทีมีฝีมือ
                               จะต้องได้รับการฝึกฝน ดังนั้นฝู้ประกอบการรายใหม่จึงต้องสร้างและสงวนแรงงานเหล่านี้ให้ได้
                            5. ต้นทุนการผลิตสูงการจัดการที่ไม่ดี การผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ ไม่มีการใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำ
                                ให้ต้นทุนของสินค้าสูง ซึ่งนำไปสู่การเสียเปรียบในเชิงการค้ากับคู่แข่ง
                            6. การแข่งขันสูงสภาพการเศรษฐกิจและแข่งขันในปัจจุบัน เป็นสาเหตุให้เกิดการแข่งขันกันสูงมากเพื่อความอยู่รอดของ
                                ธุรกิจของตนเอง ดังนั้นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง จึงมีความยากลำบากในการดำเนิน ธุรกิจ
                            7. ประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่ำการบริหารจัดการการผลิตไม่เหมาะสม ทำให้เกิดสูญเสียในการผลิต ผลผลิตต่ำ ไม่ได้
                                มาตรฐาน ซึ่งนำไปสู่สินค้าไม่มีคุณภาพและไม่สามารถแข่งขันได้
                            8. ปัญหาของระบบราชการก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ทั่วไปว่า ปัญหาด้านเอกภาพและการประสานงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
                                ในการส่งเสริมพัฒนา SMEs ก็ต้องมีความสำคัญด้วย
 ดังนั้นเมื่อเราได้ทราบปัญหาหลักของธุรกิจ SMEs แล้ว ก็จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และนำไปสู่การพัฒนาต่อไป
 เถ้าแก่ใหม่สำหรับ SMEs
                     เถ้าแก่ใหม่หรือผู้ประกอบการอิสระ หรือ เจ้าของกิจการรายใหม่ กำลังเป็นที่สนใจของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยยอมรับกันว่า
 เถ้าแก่ใหม่นั้นจะเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเถ้าแก่ใหม่จะเป็นผู้ที่มองเป็นโอกาสและช่องทางต่างๆแล้วสร้างธุรกิจ
ของตนอย่างสร้างสรรค์ และจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสหรือจะมองในแง่ของ  " ช่วงภาวะแห่งอันตราย คือ โอกาส" 
	คุณสมบัติขั้นต่ำ 7 ประการสำหรับ เถ้าแก่ใหม่
                              1. ต้องเป็นนักแสวงหาโอกาส
                                  ต้องมองเห็น " โอกาส" แม้ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ โดอยมองเห็นโอกาสแล้วหยิบฉวยขึ้นได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่มอง
                                  เห็นโอกาสแล้วไม่มีความสามารถหรือไม่กล้า นั่นถือว่า  " เสียของ " 
                              2. ต้องเป็นนักเสี่ยง
                                  ต้องกล้าเสี่ยงที่จะลุยเข้าไปเลย เพราะการที่จะเป็นเถ้าแก่นั่นคือ คุณจะมีโอกาสทั้งขาดทุน และกำไร นั้นคือสิ่งที่คุณ
                                  จะได้รับ ความเป็นนักเสี่ยงนั้นไม่ใช่ทำแบบบ้าบินหรือไม่มีหลักการและเหตุผลเอาซะเลย
                              3. ต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
                                  เป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับเถ้าแก่ใหม่ เพราะการที่จะเข้าไปแข่งขันกับเถ้าแก่เดิมหรือสินค้าที่มีอยู่ในตลาดนั้นจำเป็น
                                 จะต้องมีความคิดใหม่ๆ และสร้างสรรค์ แต่ไม่ใช่เพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
                              4. ต้องไม่ท้อถอยง่าย
                                  เถ้าแก่ใหม่จะต้องมี "ความอึด"  โดยเฉพาะเริ่มแรกของการทำธุรกิจใหม่ๆ ความมุมานะไม่ย่อท้อความลำบาก และมุ่งมั่น
                                  ที่จะให้ธุรกิจที่ตนสร้างนั้นประสบความสำเร็จ และหวังที่จะเก็บดอกออกผลในอนาคต
                              5. ต้องใฝ่รู้เสมอ
                                  เถ้าแก่ใหม่จะต้องมีความตื่นตัว ใฝ่หาความรู้เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และปรับเปลี่ยนเข้ากับสถานการณ์
                                  ต่างๆได้ดี และยังเป็นการปรับปรุงงานต่างๆด้วย
                              6. ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
                                  โดยจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ว่าจะไปไหนและมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร คล้ายกับยิงธนูจะต้องเหนี่ยว
                                  ยิงลูกธนูนั้นให้ถูกทิศทางและเป้าหมายนั่นเอง
                              7. ต้องมีเครือข่ายที่ดี
                                  เถ้าแก่ใหม่มีเครือข่ายที่ดีจะหมายถึง มีคนชี้แนะ สนับสนุนมาก มีแหล่งข้อมูลมาก และรวมไปถึงเพื่อน หรือญาติพี่
                                  น้องที่จะช่วยเหลือ
         โดยคุณสมบัติดังกล่าว ไม่ใช่คุณสมบัติที่จะต้องมีมาแต่กำเนิด เราทุกคนสามารถมีได้ และพัฒนาขึ้นมาได้แต่ต้องใช้เวลา นี่ไม่ใช่พรสววรค์ 
แต่ เป็นพรแสวงที่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะแสวงหาสิ่งนั้นด้วยตัวคุณเอง ถ้าไม่เชื่อ คุณลองไปถามเถ้าแก่เก่าที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต
แรงกดดันที่ทำให้ SMEs ต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ปัญหาของอุตสาหกรรมไทยที่ผ่านมามีหลายประการ เช่นด้านการผลิต การจัดการบริหาร
 แหล่งเงินทุน การตลาด แรงงาน คุณภาพสินค้า และเทคโนโลยีเป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านั้นทำให้อุตสาหกรรมขาดความสามารถในการทำกำไร 
" แรงกดดัน 4 C "  เป็นแรงกดดันหลักที่ทำให้ ธุรกิจ SMEs เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่
                              1. Customer (ลูกค้า) โดยลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย มีการเรียกร้องที่ไม่รู้จบ เนื่องจากเป็นตลาดของ
                                   ผู้ซื้อ มีสินค้าในตลาดมากมาย หรือเมื่อลูกค้าได้ยินสินค้าใหม่หรือมีสิ่งใหม่ที่ไม่ซ้ำซาก ซึ่งอาจรวามถึงราคาที่
                                   ดึงดูดใจด้วย ดังนั้น SMEs ต้องตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ทันการณ์ โดยมีการวิเคราะห์ลูกค้า
                                   อยู่เสมอ
                              2. Competition (การแข่งขัน)  สภาพการแข่งขันในตลาดเสรีนอกจากจะเพิ่มทั้งจำนวนและขนาดแล้ว คู่แข่งจะ
                                  มีทั้งสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสินค้าเหล่านั้นจะรวมไปถึง สินค้านำเข้า สินค้าหนีภาษี และ สินค้าที่ทุ่มตลาด
                                  ด้วยการลดราคาเป็นต้น SMEs จึงต้องพยายามคิดเสมอว่า คู่แข่งของเราผลิตสินค้าที่ดีกว่า ถูกกว่า และให้บริการ
                                  เร็วกว่า เพื่อที่เราจะได้มีการตื่นตัวและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มากกว่านั้นเราจะต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิม
                                  และสร้างสรรค์ฐานลูกค้าใหม่ด้วย
                              3. Cost (ต้นทุน) การลดต้นทุนการผลิต (Cost Reduction)  เป็นเรื่องที่  SMEs ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
                                   เพราะหากต้นทุนการผลิตสูง ราคาขายของสินค้าหรือบริการก็จะสูงไปด้วยทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน
                                   และยังทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตามก็ต้องคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าเช่นเดียวกัน
                              4. Crisis มีคำกล่าวว่า " ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฝึก" ซึ่งก็คือการที่เรามีการเตรียมความพร้อมไว้สำหรับเหตุการณ์
                                  ร้ายแรงที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อน ซึ่งจะเป็นการป้องกันล่วงหน้า เราจะมีทางหนีทีไร่อย่างไร มากกว่านั้น ยังเป็นการ
                                  ปรับตัวและยืดหยุ่นตามวิกฤติเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีและเร็วทันท่วงที ดังนั้น การที่มีจิตนึกในการจัดการ
                                  วิกฤติการณ์(Crisis Management) จะสอนเราให้เป็น"นักป้องกันและแก้ปัญหา" ไม่ใช่ "นักผจญเพลิง"
                                  ดังนั้น SMEs จะต้องเปิดหูเปิดตาเพื่อให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่

การประชุมกลุ่ม BRICS ของห้าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพปีนี้มุ่งเน้นที่เศรษฐกิจและระบบการเงินของโลก

คำว่า BRIC เริ่มใช้เรียกกันมาตั้งแต่ปี 2001 โดยหมายถึงประเทศ Brazil, Russia, India, และ China กลุ่มนี้เริ่มการประชุมครั้งแรกเมื่อปี 2009 และในการประชุมที่เมืองซันย่าของจีนปีนี้มีประเทศ South Africa เข้าร่วมด้วยทำให้กลายเป็นกลุ่ม BRICS และกลุ่มนี้มองตัวเองว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยนาย Alessandro Teixeira รมต.ช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าต่างประเทศของบราซิลชี้ว่า ภายในปี 2013 ผลผลิต GDP โดยรวมของกลุ่มดังกล่าวจะสูงกว่าของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
การประชุมปีนี้มุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านการเงินของโลก และอาจารย์ Joseph Cheng ผู้สอนวิชารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย City University ในฮ่องกงกล่าวว่ากลุ่มประเทศ BRICS ต้องการบรรลุความเห็นพ้องต้องกันเพื่อใช้ต่อรองกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะเห็นว่าประเทศตะวันตกได้ครอบงำกระบวนการสร้างกฏเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเงินและการค้าระหว่างประเทศของโลก ทางกลุ่มจึงต้องการมีบทบาทมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้  แต่อาจารย์ Joseph Cheng ก็มองว่ากลุ่ม BRICS ยังรวมตัวกันอย่างหลวมๆ และอาจมีปัญหาเรื่องการสร้างมติที่เป็นเอกฉันท์ได้ เพราะจุดยืนและผลประโยชน์ของประเทศที่ยังแตกต่างกันอยู่ในบางเรื่อง อย่างไรก็ตามรมต.ช่วยการการกระทรวงการต่างประเทศของจีนในฐานะประเทศเจ้า ภาพกล่าวว่า จุดยืนหรือมุมมองที่แตกต่างกันนี้จะไม่เป็นอุปสรรคของความร่วมมือ เพราะทางกลุ่มจะเน้นเรื่องที่มีความเห็นตรงกันก่อน
ส่วนอาจารย์ Shi Yinhong ผู้สอนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัย Renmin ชี้ว่า ถึงแม้กลุ่ม BRICS จะไม่ได้มีฐานะเป็นกลุ่มความร่วมมืออย่างเป็นทางการก็ตาม แต่จุดประสงค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มคือการส่งสัญญาณเตือนให้ประเทศ อื่นๆ ได้ทราบ อาจารย์ Shi Yinhong บอกด้วยว่าถึงแม้สหรัฐฯ จะไม่ได้แสดงความกังวลเรื่องการรวมตัวของกลุ่ม ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าสหรัฐฯ กับประเทศตะวันตกอื่นๆ กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
ขณะนี้ห้าประเทศของกลุ่ม BRICS คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้มีผลผลิตทางเศรษฐกิจรวมกันราว 20 % ของผลผลิตทางเศรษฐกิจของโลก

วันที่ 7-8-54 : THE SUN

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 54

ตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เมื่อได้ยอดเงินได้สุทธิแล้ว นำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษี ดังนี้


เงินได้สุทธิ
ช่วงเงินได้สุทธิ
แต่ละขั้น
อัตราภาษี
ร้อยละ
ภาษีแต่ละขั้น
เงินได้สุทธิ
ภาษีสะสม
สูงสุดของขั้น
1 - 150,000
150,000
ได้รับยกเว้น
-
-
150,001 - 500,000
350,000
10
35,000
35,000
500,001 - 1,000,000
500,000
20
100,000
135,000
1,000,001 - 4,000,000
3,000,000
30
900,000
1,035,000
4,000,001 บาทขึ้นไป

37



หมายเหตุ :- การ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้สุทธิเฉพาะส่วนไม่เกิน 150,000 บาท มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้สุทธิที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ( พระราชกฤษฎีกา ( ฉบับที่ 470 ) พ.ศ. 2551 )


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีจะต้องทำอย่างไร?

โดย ทั่วไปผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกประเภทของตน ตลอดปีภาษี (ไม่รวมเงินได้ที่กฎหมายยกเว้นภาษี หรือที่ไม่ต้องเสียภาษี) ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีเงิน ได้ การคำนวณภาษีให้ทำเป็น 3 ขั้น คือ
ขั้นที่หนึ่ง
คำนวณหาจำนวนภาษีตาม วิธีที่ 1 เสียก่อน
การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1
เงินได้พึงประเมินทุกประเภทรวมกันตลอดปีภาษี
xxxx
(1)
หัก ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(2)
(1)-(2) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
xxxx
(3)
หัก ค่าลดหย่อนต่าง ๆ (ไม่รวมค่าลดหย่อนเงินบริจาค) ตามที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(4)
(3)-(4) เหลือเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ
xxxx
(5)
หัก ค่าลดหย่อนเงินบริจาค ไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด
xxxx
(6)
(5-6) เหลือเงินได้สุทธิ
xxxx
(7)
นำเงินได้สุทธิตาม (7) ไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1
xxxx
(8)



ขั้นที่สอง ให้พิจารณาว่าจะต้องคำนวณภาษีตาม วิธีที่ 2 หรือไม่ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่จะต้องคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 จึงคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 อีกวิธีหนึ่ง
กรณีที่ต้องคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 ได้แก่ กรณีที่เงินได้พึงประเมินทุกประเภทในปีภาษี แต่ไม่รวม เงินได้พึงประเมินตามประเภทที่ 1 มีจำนวนรวมกันตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2 นี้ ให้คำนวณในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน (= เงินได้พึงประเมินทุกประเภทลบเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 คูณด้วย 0.005) ดังกล่าวนั้น
กำหนดให้ (10) คือ จำนวนภาษีที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 2

การคำนวณภาษี
จำนวนภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย เทียบ (8) และ (10) จำนวนที่สูงกว่า
xxxx
(11)
หัก ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแล้ว
xx
ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้ว
xx
ภาษีเงินได้ชำระล่วงหน้า
xx
เครดิตภาษีเงินปันผล
xx
xx
(12)
(11-12) เหลือ ภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย (หรือที่เสียไว้เกินขอคืนได้)
xx

หมายเหตุ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป หากคำนวณตามวิธีที่ 2 แล้วมีภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 บาท ผู้มีเงินได้ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามวิธีที่ 2 ( 10 ) แต่ยังคงมีหน้าที่เสียภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 1 ( 8 ) โดยนำมาสรุปจำนวนภาษีที่ต้องเสียขั้นที่สาม
ที่มา :http://www.rd.go.th/publish/555.0.html
























































วันที่ 28 กค. 2554

วันนี้ขอเน้นการตลาดครับพี่น้อง ^^

*** เพราะจากการวิเคราะห์ตัวเองแล้วเห็นว่าสิ่งที่ยังขาดไปในตัวเรา..นั่นก็คือ..
       ความรู้และ ความเ้ข้าใจในเรื่อง การตลาด

บทความที่ 1
การตลาดสำหรับธุรกิจบริการ
http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538767419&Ntype=121


บทความที่ 2

ส่วนประสมทางการตลาดบริการ

http://www.crmtothai.com/index.php?option=com_content&task=view&id=898&Itemid=81 

 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์นั้น ประกอบด้วยทั้ง สินค้า และบริการ
ซึ่งบริการแตกต่างจากสินค้า บริการส่วนมากจะผสมผสานไปกับสินค้า บางสินค้าจับต้องยาก บางสินค้าลูกค้าไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่มาใช้บริการเท่านั้น ไม่สามารถสต๊อกหรือผลิตล่วงหน้าได้ มีพนักงานบริการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจากบริการมีความแตกต่างจากสินค้าตรงที่…..

1. บริการเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก ไม่สามารถเน้นตัวผลิตภัณฑ์ได้ ต้องอาศัยปัจจัยเสริมด้วย เพื่อเน้นให้เห็นภาพ ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกประทับใจกับบริการที่ได้รับ

2. บริการต่างๆที่ลูกค้าได้รับ ลูกค้าไม่ได้เป็นเจ้าของบริการนั้นๆ เพียงแค่เป็นการเช่าหรือมาใช้บริการ

3. พนักงานบริการมีส่วนเป็นอย่างมากในการให้บริการกับลูกค้า ซึ่งเรียกว่า การส่งมอบบริการ มีบริการหลายประเภทที่ต้องมีการโต้ตอบระหว่างพนักงานบริการกับลูกค้าในขณะ ให้บริการด้วย เช่น ร้านตัดผม

4. การบริการมีความแตกต่างกันมากในแต่ละครั้ง ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคน ซึ่งในที่นี้รวมทั้งคนให้บริการและคนรับบริการที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะมีความผิดพลาดได้ ลูกค้าประเมินคุณภาพบริการได้ยาก เพราะบริการจับต้องไม่ได้ทดลองก่อนตัดสินใจไม่ได้

5. บริการไม่สามารถผลิตเก็บไว้ล่วงหน้าได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ คน เวลา สถานที่ และเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก

6. เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญในการส่งมอบบริการ ทำให้ในช่วงที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากๆ ทำให้ลูกค้าต้องรอนาน และการให้บริการมีคุณภาพลดลง

7. มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างออกไปจากสินค้าแบบดั้งเดิม บริการบางประเภทสามารถส่งมอบได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องติดต่อกับคนโดยตรง

บริการจึงมีองค์ประกอบที่เป็นส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างออกไป เพราะบริการเป็นอะไรที่มีความหลากหลายมาก
การจัดการทางด้านการตลาดของการบริการนี้จะต้องผสมผสานกัน จนไม่อาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับแต่ละบริการด้วย ซึ่ง 7P’s ของบริการที่ต้องสอดประสานกันอย่างดีจึงจะได้ประสิทธิผล มีดังนี้

1. ทางด้านสินค้า (Product ) ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจเลือกบริการหลัก และบริการเสริม ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และแข่งขันได้ดีเมื่อเทียบกับบริการของคู่แข่ง

2. ราคาและค่าใช้จ่ายส่วนที่ลูกค้าต้องจ่าย (Price) ในเรื่องของราคาตามปกติที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจเหมือนกับราคาของสินค้า แบบเดิม ผู้บริหารยังจะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ตัวเงิน เวลาที่ลูกค้าต้องเสียไปกับการมาใช้บริการ ตลอดจนความรู้สึกทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่อาจออกมาในแง่ลบ ความไม่พึงพอใจต่อการบริการที่ได้รับ เนื่องจากบริการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมายไว้

3. สถานที่ (Place) ในการส่งมอบบริการต้องคำนึงถึงปัจจัยทางด้านสถานที่ที่ให้บริการ และเวลาที่สะดวกรวดเร็วจากการได้รับบริการโดยผ่านทาง อีเมล์ หรือทางเว็บไซต์ก็ได้ เพราะลูกค้าจะคำนึงถึงความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการเป็นปัจจัยสำคัญ

4. การส่งเสริมการขายและการสื่อสารทางการตลาด (Pomotion & IMC) ไม่มีสินค้าชนิดใดที่จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่มีโปรแกรมการสื่อสารการตลาดที่ดี ซึ่งมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่จำเป็นกับลูกค้า ชักชวนให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ตลอดจนกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบริการเร็วขึ้น แต่หลักการสื่อสารการตลาดของการบริการมักจะเน้นที่การสอนลูกค้าเกี่ยวกับ บริการนั้นๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อใดจึงควรจะใช้จะหาได้ที่ไหน และจะต้องทำอย่างไรบ้างในการมารับบริการนั้นๆ

5. พนักงานผู้ให้บริการและลูกค้าที่มีส่วนร่วมในงานบริการนั้นด้วย ส่งมอบบริการ (People) มีบริการหลายชนิดที่เจาะจงให้ลูกค้าและพนักงานต้องมามีส่วนร่วมในงานบริการ ร่วมกัน ขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เช่น การให้บริการตัดผม

6. เกิดความประทับใจจากสิ่งที่เห็น มีส่วนในการช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า บริการนั้นมีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ได้แก่ อาคารสำนักงานสถานที่ที่ให้บริการ เครื่องมือที่ใช้ การแต่งกายของพนักงานที่เหมาะสม

7. กระบวนการออกแบบบริการ (Process Design) เป็นการส่งมอบบริการให้ลูกค้า ถ้าการออกแบบทำได้ดี การส่งมอบบริการก็จะมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตรงเวลา มีคุณภาพสม่ำเสมอ แต่ถ้าขั้นตอนการออกแบบบริการไม่ดีพอก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ หรือทำให้ลูกค้าไม่พอใจ จนทำให้เลิกใช้บริการไป

ผู้บริหารจะต้องมี การทบทวนการให้บริการกับลูกค้าไม่ควรไปลดต้นทุนการบริการลง ทำให้คุณภาพการบริการแย่ลงไปด้วย คุณภาพที่ไม่ดีจะทำให้ลูกค้าไม่พอใจ และไม่ใช้บริการซ้ำอีก
 
ที่มา : http://www.siaminfobiz.com/